Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

Notifications
Clear all

แพทย์เตือน! การเลื่อนหน้าจอมือถือทำลายสมองส่วนหน้า เสี่ยงโรคซึมเศร้า-วิตกกังวล พร้อมแนะวิธีเลิกติด

1 Posts
1 Users
0 Reactions
34 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 5299
Illustrious Member
Topic starter
 

การเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นพฤติกรรมที่หลายคนทำเป็นประจำในชีวิตประจำวัน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เตือนว่านิสัยที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยนี้ กำลังส่งผลร้ายต่อสมองอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมสมาธิและการตัดสินใจ

เมื่อวันที่ 15 พ.ค. นพ.หวง เสวียน (Huang Xuan) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอกและการดูแลผู้ป่วยหนัก ได้เปิดเผยผ่านเพจ Facebook ส่วนตัวถึงอันตรายของ "โรคย้ำคิดทางดิจิทัล" หรือการติดพฤติกรรมเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งกำลังกัดกร่อนสุขภาพสมองของมนุษย์อย่างเงียบๆ

พฤติกรรมการเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์กับการทำลายสมองส่วนหน้า

นพ.หวง สังเกตว่าหลายคนมีเจตนาเพียงต้องการตรวจสอบข้อความอย่างรวดเร็ว แต่กลับใช้เวลาเลื่อนหน้าจอไปถึงสองชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมนี้ถูกจัดให้เป็นอาการป่วยทางจิตเวชสมัยใหม่ที่เรียกว่า "โรคย้ำคิดทางดิจิทัล" ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อสมองมากกว่าที่คนทั่วไปคาดคิด

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Psychology ที่ นพ.หวง อ้างถึง ชี้ให้เห็นว่า การติดโทรศัพท์ในระยะยาวนำไปสู่การลดลงของปริมาตรของเนื้อสมองสีเทา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการมีสมาธิและการควบคุมแรงกระตุ้น

"การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่สำคัญกำลังเกิดขึ้นในสมองของผู้ที่ติดการเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ นั่นหมายความว่าการใช้โทรศัพท์มากเกินไปไม่เพียงแต่ทำให้ปวดตา แต่ยังเป็นอันตรายต่อพื้นที่หลักของสมองที่ควบคุมสมาธิ ความจำ และการควบคุมตนเอง" นพ.หวง อธิบาย

มัลติทาสกิ้ง - ความเข้าใจผิดที่ทำร้ายสมอง

หลายคนเชื่อว่าตนเองสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อมกัน เช่น ทำงานหรือเรียนไปพร้อมกับเลื่อนโทรศัพท์ โดยคิดว่าจะช่วยประหยัดเวลา แต่ นพ.หวง เผยความจริงว่า สมองของมนุษย์ไม่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"พฤติกรรมการสลับความสนใจไปมาบ่อยๆ ทำให้สมองอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเรียนรู้และความจำ" นพ.หวง กล่าว

จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน PubMed พบว่า วัยรุ่นที่ใช้โทรศัพท์มือถือเกินวันละ 4 ชั่วโมง มีความจำในการทำงาน (Working Memory) และผลการเรียนลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้โทรศัพท์น้อยกว่า

ความเชื่อมโยงระหว่างการใช้โทรศัพท์กับโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล

นอกจากความบกพร่องทางสติปัญญาแล้ว นพ.หวง ยังชี้ให้เห็นว่า สุขภาพทางอารมณ์ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน โดยอ้างถึงงานวิจัยที่แสดงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียและโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความภาคภูมิใจในตนเองที่ลดลง

การสำรวจในปี 2021 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Psychiatry พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า วัยรุ่นที่เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้โทรศัพท์น้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน

"ปัญหาทางอารมณ์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ 'คิดมาก' อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นการตอบสนองที่แท้จริงของสมองต่อ 'ความเป็นพิษทางดิจิทัล'" นพ.หวง เน้นย้ำ

ความสว่างสูงและเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากหน้าจอโทรศัพท์จะกระตุ้นสมองอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่มั่นคงมากขึ้น และนำไปสู่วัฏจักรที่เลวร้ายที่ นพ.หวง เรียกว่า "ยิ่งเลื่อน ยิ่งวิตกกังวล ยิ่งใช้ ยิ่งซึมเศร้า"

กลไกการเสพติดหน้าจอที่น่ากลัว

นพ.หวง อธิบายว่า การเลื่อนหน้าจอโซเชียลมีเดียกระตุ้นการหลั่งสารโดปามีนในสมอง ซึ่งเป็นกลไกเดียวกับการเสพติดสารเสพติดหรือการพนัน เมื่อเราได้รับการแจ้งเตือนใหม่หรือได้รับไลก์ สมองจะปล่อยสารโดปามีนออกมา ทำให้รู้สึกพึงพอใจชั่วขณะ

"ทุกครั้งที่มีการแจ้งเตือนใหม่ สมองจะปล่อยสารโดปามีนเล็กน้อย ทำให้เราต้องการเช็คโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลาเพื่อรับ 'รางวัล' เล็กๆ เหล่านี้ นี่คือวงจรการเสพติดที่แท้จริง" นพ.หวง กล่าว

ข้อมูลจากการศึกษาในวารสาร Journal of Behavioral Addictions พบว่า ผู้ใช้สมาร์ทโฟนโดยเฉลี่ยเช็คโทรศัพท์ของตนมากถึง 150 ครั้งต่อวัน และใช้เวลาเลื่อนหน้าจอโดยรวมมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุ 18-24 ปี

แนวทางเลิกติดการเลื่อนหน้าจอ "อดอาหารทางดิจิทัล"

เพื่อลดผลกระทบที่เป็นอันตรายของอุปกรณ์ดิจิทัลต่อสมอง นพ.หวง แนะนำให้ใช้วิธี "การอดอาหารทางดิจิทัล" (Digital Fasting) ซึ่งเป็นการจัดสรรเวลา "ปลอดหน้าจอ" อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวัน เพื่อทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การอ่านหนังสือ การเดินเล่น การทำสมาธิ หรือเพียงแค่อยู่กับตัวเองโดยไม่มีสิ่งรบกวน

นพ.หวง อ้างถึงการทดลองแบบสุ่มในปี 2022 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cyberpsychology, Behavior, and Social Networking ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การหยุดใช้โซเชียลมีเดียเป็นเวลาเพียง 7 วันสามารถลดระดับความเครียดและเพิ่มความรู้สึกเป็นสุขได้อย่างมีนัยสำคัญ

เคล็ดลับการลดการใช้สมาร์ทโฟน

นพ.หวง แนะนำเคล็ดลับปฏิบัติเพื่อลดการใช้สมาร์ทโฟนดังนี้:

  1. ตั้งค่าโทรศัพท์ให้เป็นโหมดขาวดำ - การลดสีสันของหน้าจอจะช่วยลดความน่าสนใจและการกระตุ้นสมอง
  2. ลบแอปที่ทำให้เสียเวลา - พิจารณาลบแอปพลิเคชันที่คุณใช้เวลาเลื่อนมากเกินไป
  3. ตั้งเวลาใช้งานแอป - ใช้ฟีเจอร์ Screen Time หรือ Digital Wellbeing เพื่อจำกัดเวลาการใช้งานแอปที่ทำให้เสียสมาธิ
  4. วางโทรศัพท์ให้ห่างจากตัว - เก็บโทรศัพท์ไว้ในห้องอื่นขณะทำงานหรือนอนหลับ
  5. สร้างพื้นที่ปลอดโทรศัพท์ - กำหนดพื้นที่ในบ้านที่ห้ามนำโทรศัพท์เข้าไป เช่น ห้องนอนหรือห้องอาหาร

ความสมดุลคือกุญแจสำคัญ

นพ.หวง เน้นย้ำว่า การเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือไม่ใช่เรื่องผิดในตัวมันเอง แต่เมื่อกลายเป็นพฤติกรรมการติดในระยะยาว อาจกลายเป็นการทำร้ายสมองแบบเรื้อรัง

"สมองของเราไม่มีตัวรับความรู้สึกเจ็บปวด เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น ส่วนใหญ่แล้วเรามักรู้ตัวเมื่อสายเกินไป" นพ.หวง เตือน

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การสร้างความสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีและการดูแลสุขภาพจิตจึงเป็นเรื่องสำคัญ

"ทุกครั้งที่คุณเลื่อนหน้าจอโดยไม่มีจุดหมาย คุณกำลังใช้พลังความคิด ความจำ และความสุขของคุณไปกับมัน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องควบคุมสมองของคุณกลับคืนมา และใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น" นพ.หวง กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้สมาร์ทโฟนต่อสุขภาพจิตและสมอง สามารถติดตามได้ทางเพจเฟซบุ๊กของ นพ.หวง เสวียน หรือค้นคว้าเพิ่มเติมจากวารสารการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

This topic was modified 1 month ago by supachai
 
Posted : 15/05/2025 8:43 am
Share: