อุปกรณ์แปลภาษา AI จากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจีน iFLYTEK กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม ด้วยความสามารถแปลได้ถึง 85 ภาษาจากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ช่วยเหลือผู้ประกอบการจีนรายย่อยในการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศพันธมิตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative (BRI)

ในยุคที่โลกเศรษฐกิจเชื่อมต่อกันแบบไร้พรมแดน การสื่อสารข้ามภาษากลายเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ บริษัท iFLYTEK ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีการประมวลผลเสียงของจีน ได้พัฒนาอุปกรณ์แปลภาษา AI ที่มีขนาดเท่าโทรศัพท์มือถือ แต่สามารถทำลายกำแพงภาษาที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายธุรกิจข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจ

อุปกรณ์แปลภาษา AI ของ iFLYTEK ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือแปลธรรมดา แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมเทคโนโลยีล้ำสมัยหลายด้านเข้าด้วยกัน ด้วยความสามารถในการแปลภาษาได้ถึง 85 ภาษาจากกว่า 200 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงภาษาถิ่นในจีนกว่า 200 แบบ ทำให้เครื่องมือชิ้นนี้กลายเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมที่แท้จริง

ที่น่าสนใจคือความหลากหลายของภาษาที่รองรับ ไม่ได้จำกัดแค่ภาษาหลักๆ ของโลก แต่ยังครอบคลุมภาษาท้องถิ่นและภาษาที่ใช้ในพื้นที่เฉพาะ ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการให้ทุกคนสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่มีอุปสรรคทางภาษา

เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง อุปกรณ์นี้ใช้หน่วยประมวลผลประสาท (Neural Processing Unit - NPU) ที่พัฒนาขึ้นโดยจีนเอง ทำให้สามารถประมวลผลและแปลภาษาได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้อุปกรณ์นี้ใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีสัญญาณเครือข่าย หรือในสถานการณ์ที่ต้องการความรวดเร็วและความแม่นยำสูง

ผู้ประกอบการรายย่อย: กลุ่มเป้าหมายหลักของนวัตกรรม

ซุน จิ้งถิง ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ AI แปลภาษาของ iFLYTEK เผยว่า กลุ่มลูกค้าหลักของผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณมหาศาล แต่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ที่มีความฝันที่จะขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ แต่ติดขัดเรื่องงบประมาณในการจ้างล่ามมืออาชีพ

"ผู้ประกอบการรายย่อยเหล่านี้มักจะต้องให้พนักงานขายหรือนักเทคนิคของตนเองทำหน้าที่เป็นล่ามไปด้วย" ซุน จิ้งถิงอธิบาย "แต่ปัญหาคือพนักงานเหล่านี้อาจมีความรู้ภาษาอังกฤษพอใช้ แต่เมื่อต้องไปทำธุรกิจในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น เวียดนาม รัสเซีย ไทย หรือประเทศในแอฟริกา ก็จะเกิดปัญหาการสื่อสารที่ร้ายแรง"

การเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในการใช้ภาษา "แม้ภาษาอังกฤษจะยังคงเป็นภาษาที่ใช้มากที่สุดในการติดต่อทางธุรกิจ แต่สัดส่วนการใช้งานลดลงจาก 60% เหลือเพียง 30% เพราะความต้องการแปลภาษาอื่นๆ พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว" ซุน จิ้งถิงให้ข้อมูลที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย อันดับแรกคือการขยายตัวของแผนยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative ที่ทำให้ธุรกิจจีนเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก อันดับสองคือการเติบโตของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง แต่ใช้ภาษาท้องถิ่นในการทำธุรกิจ

เทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริงในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

สิ่งที่ทำให้อุปกรณ์แปลภาษา AI ของ iFLYTEK แตกต่างจากคู่แข่งคือ ความสามารถในการทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่สำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องเดินทางไปทำธุรกิจในพื้นที่ห่างไกล หรือประเทศที่มีปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี

หน่วยประมวลผลประสาท (NPU) ที่พัฒนาโดยจีนเองทำให้อุปกรณ์สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยไม่ต้องส่งข้อมูลไปประมวลผลที่เซิร์ฟเวอร์ภายนอก นอกจากจะช่วยเรื่องความเร็วแล้ว ยังช่วยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลอีกด้วย เพราะการสนทนาทางธุรกิจมักมีข้อมูลที่เป็นความลับ

ฟีเจอร์การตัดเสียงรบกวนระดับสูง เป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้อุปกรณ์นี้ใช้งานได้จริงในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่น งานแสดงสินค้า (Trade Fair) โรงงานอุตสาหกรรม หรือตลาดนัดกลางแจ้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ประกอบการจีนมักต้องไปทำธุรกิจ เทคโนโลยี AI สามารถแยกเสียงพูดออกจากเสียงรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การแปลมีความแม่นยำสูงแม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย

อุปกรณ์ยังมีการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานจริง ขนาดที่กะทัดรัดเท่าโทรศัพท์มือถือ ทำให้พกพาสะดวก แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ทั้งวัน และอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยีมากมาย ผู้ประกอบการสามารถเรียนรู้การใช้งานได้ในเวลาไม่กี่นาที

การขยายตัวสู่อุตสาหกรรมยานยนต์

นวัตกรรมของ iFLYTEK ไม่ได้จำกัดอยู่แค่อุปกรณ์แปลภาษาแบบพกพา บริษัทยังได้พัฒนา ระบบสั่งงานด้วยเสียงในรถยนต์ที่รองรับ 23 ภาษา ซึ่งถูกติดตั้งในรถยนต์แบรนด์จีนกว่า 100 รุ่นที่ส่งออกไปทั่วโลก

การพัฒนาเทคโนโลยีนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่เห็นว่า AI แปลภาษาจะเป็นส่วนสำคัญของอนาคต ไม่ใช่แค่เครื่องมือแยกต่างหาก แต่จะถูกผสานเข้าไปในผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน รถยนต์ที่สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อคำสั่งในภาษาท้องถิ่นของผู้ขับขี่ จะทำให้รถยนต์จีนมีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก

ตัวอย่างการใช้งานจริงคือ เมื่อรถยนต์จีนถูกส่งออกไปยังประเทศไทย ผู้ซื้อสามารถใช้ภาษาไทยในการสั่งงานระบบนำทาง เปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ หรือโทรหาเพื่อน โดยไม่ต้องเรียนรู้คำสั่งเป็นภาษาอื่น ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและลดอุปสรรคในการใช้งาน

ข้อมูลการส่งออกรถยนต์จีน ในปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้มีความสำคัญมาก รถยนต์จีนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ระบบสั่งงานด้วยเสียงที่รองรับภาษาท้องถิ่นจึงกลายเป็นจุดขายที่สำคัญ

ผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative

แผนยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีเป้าหมายเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ผ่านการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้า และการลงทุน เทคโนโลยี AI แปลภาษาของ iFLYTEK จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แผน BRI บรรลุเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประเทศต่างๆ ที่อยู่ภายใต้แผน BRI มีความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรมสูงมาก ตั้งแต่ภาษาอาหรับในตะวันออกกลาง ภาษารัสเซียและภาษาในกลุ่มประเทศเอเชียกลาง ภาษาในกลุ่มประเทศบอลข่าน ไปจนถึงภาษาต่างๆ ในแอฟริกา การที่ผู้ประกอบการจีนสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพในภาษาเหล่านี้ จะช่วยสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจที่ดีขึ้น

กรณีศึกษาในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีนี้ ธุรกิจจีนที่เข้ามาลงทุนในไทย ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ หรือเทคโนโลยีการเกษตร มักประสบปัญหาในการสื่อสารกับพนักงานและผู้รับเหมาท้องถิ่น การมีอุปกรณ์แปลภาษาที่แม่นยำและใช้งานง่าย ช่วยลดข้อผิดพลาดในการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนที่เกิดจากการเข้าใจผิด

ในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นอีกประเทศสำคัญในแผน BRI ธุรกิจจีนได้เข้าไปลงทุนในหลายสาขา ตั้งแต่การผลิต การท่องเที่ยว ไปจนถึงเทคโนโลยี การที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาเวียดนามได้โดยตรง ช่วยให้เข้าใจความต้องการของตลาดได้ดีขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรท้องถิ่น

ข้อจำกัดและความท้าทายของเทคโนโลยี AI แปลภาษา

แม้เทคโนโลยี AI แปลภาษาจะมีความก้าวหน้าอย่างน่าประทับใจ แต่ซุน จิ้งถิงยอมรับว่ายังมีข้อจำกัดที่สำคัญ "การเจรจาทางธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องของการแปลภาษา แต่ยังเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก และความเข้าใจวัฒนธรรม ซึ่งมนุษย์ยังคงทำได้ดีกว่า AI"

ความท้าทายหลักของ AI แปลภาษาในปัจจุบันมีหลายประการ:

ความเข้าใจบริบท (Context) เป็นปัญหาใหญ่ เพราะคำหนึ่งคำสามารถมีความหมายที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น คำว่า "ธนาคาร" อาจหมายถึงสถาบันการเงิน หรืออาจหมายถึงฝั่งแม่น้ำ ขึ้นอยู่กับบริบทของการสนทนา AI ยังคงมีปัญหาในการแยกแยะความหมายที่ถูกต้องในบางกรณี

ความแตกต่างทางวัฒนธรรม เป็นอีกความท้าทายใหญ่ การแปลภาษาไม่ใช่แค่การเปลี่ยนคำจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่ง แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมทางวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น การกล่าวสวัสดีในแต่ละวัฒนธรรมมีรูปแบบที่แตกต่างกัน การใช้คำพูดที่สุภาพหรือเป็นทางการก็แตกต่างกันไป

อารมณ์และความรู้สึก ที่แฝงอยู่ในการพูดเป็นสิ่งที่ AI ยังจับได้ไม่ดีนัก มนุษย์สามารถรับรู้ได้ว่าผู้พูดรู้สึกโกรธ ดีใจ หรือเศร้า จากน้ำเสียง การแสดงออกทางสีหน้า และภาษากาย แต่ AI ยังไม่สามารถประมวลผลข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์

ความแม่นยำในการแปลเฉพาะทาง โดยเฉพาะคำศัพท์ทางเทคนิคหรือกฎหมาย ยังเป็นความท้าทาย AI อาจแปลคำศัพท์ทั่วไปได้ดี แต่เมื่อเจอคำศัพท์เฉพาะสาขา เช่น คำศัพท์ทางการแพทย์ กฎหมาย หรือเทคโนโลยีล้ำสมัย อาจยังแปลได้ไม่ถูกต้อง

AI แปลภาษากับอนาคตของการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม

แม้จะมีข้อจำกัด แต่ศักยภาพของ AI แปลภาษายังคงมีมากมาย iFLYTEK และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ กำลังพัฒนาระบบ AI ที่สามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานจริงของผู้ใช้

Machine Learning และ Deep Learning เป็นเทคโนโลยีหลักที่จะช่วยให้ AI แปลภาษาดีขึ้นในอนาคต ยิ่งมีคนใช้งานมาก AI ก็จะยิ่งเรียนรู้และเข้าใจบริบทได้ดีขึ้น การพัฒนาในทิศทางนี้จะทำให้ AI สามารถจับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความหมายที่ซ่อนเร้นได้ดีขึ้น

การผสานเทคโนโลยีหลายด้าน เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจ การรวม AI แปลภาษา เข้ากับ Computer Vision ที่สามารถอ่านภาษากาย การประมวลผลเสียงที่สามารถจับอารมณ์จากน้ำเสียง และ Natural Language Processing ที่เข้าใจบริบทได้ดีขึ้น จะทำให้การแปลภาษาใกล้เคียงกับการสื่อสารของมนุษย์มากขึ้น

การพัฒนาภาษาโมเดล (Language Model) ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละอุตสาหกรรมหรือสาขาธุรกิจ จะช่วยแก้ปัญหาความแม่นยำในการแปลคำศัพท์เฉพาะทาง ตัวอย่างเช่น โมเดลสำหรับการแพทย์ โมเดลสำหรับกฎหมาย หรือโมเดลสำหรับวิศวกรรม

ผลกระทบต่อตลาดแรงงานและการศึกษา

การพัฒนาของ AI แปลภาษาส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน โดยเฉพาะอาชีพล่าม แต่ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า AI จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของล่ามมืออาชีพ มากกว่าจะมาแทนที่ ล่ามจะสามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยในการแปลคำศัพท์ยาก หรือในการตรวจสอบความถูกต้อง ขณะที่มนุษย์จะดูแลเรื่องความเข้าใจวัฒนธรรมและการตีความที่ละเอียดอ่อน

การศึกษาภาษาต่างประเทศ ก็จะเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ว่าคนจะไม่ต้องเรียนภาษาต่างประเทศแล้ว แต่จะเน้นไปที่การเข้าใจวัฒนธรรม การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สถาบันการศึกษา หลายแห่งเริ่มปรับหลักสูตรการเรียนการสอน โดยผสาน AI แปลภาษาเข้าไปในการเรียนการสอน นักเรียนจะได้เรียนรู้วิธีการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ยังพัฒนาทักษะการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมที่ AI ยังทำไม่ได้

การแข่งขันในตลาดโลกและความได้เปรียบทางการแข่งขัน

การมี เทคโนโลจี AI แปลภาษาที่ล้ำสมัย กำลังกลายเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันที่สำคัญของบริษัทจีน ในขณะที่คู่แข่งจากประเทศอื่นยังต้องจ้างล่ามหรือใช้บริการแปลภาษาที่มีต้นทุนสูง บริษัทจีนสามารถใช้เทคโนโลยีของตนเองในการขยายธุรกิจได้อย่างคุ้มทุน

ตัวอย่างความสำเร็จ ที่เห็นได้ชัดคือบริษัทผลิตเครื่องจักรกลจีนที่ใช้อุปกรณ์แปลภาษา AI ในการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างประเทศ พวกเขาสามารถสื่อสารกับลูกค้าจากหลากหลายประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องพึ่งล่ามหรือจำกัดการสื่อสารแค่ภาษาอังกฤษ ผลลัพธ์คือยอดขายที่เพิ่มขึ้นและการขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ๆ

การลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ เป็นประโยชน์ที่สำคัญอีกประการ การจ้างล่ามมืออาชีพสำหรับการเดินทางธุรกิจระยะยาวมีต้นทุนสูงมาก ทั้งค่าจ้าง ค่าที่พัก ค่าเดินทาง และค่าอาหาร การใช้อุปกรณ์ AI แปลภาษาช่วยลดต้นทุนเหล่านี้ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจเดินทางไปทำธุรกิจในประเทศใหม่ๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้เวลาหาล่ามหรือจัดเตรียมทีมงานที่มีความรู้ภาษาเฉพาะ

แนวโน้มการพัฒนาในอนาคตและนวัตกรรมใหม่

iFLYTEK และบริษัทเทคโนโลยีจีนอื่นๆ กำลังลงทุนวิจัยและพัฒนาอย่างหนัก เพื่อให้ AI แปลภาษามีความสามารถที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น การพัฒนาในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่การเข้าใจบริบท การจับอารมณ์และความรู้สึก และการปรับการแปลให้เหมาะสมกับวัฒนธรรม

การผสานกับ Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เป็นแนวโน้มที่น่าสนใจ ในอนาคตอาจมีแว่นตา AR ที่สามารถแปลภาษาและแสดงคำแปลลอยอยู่ในอากาศแบบเรียลไทม์ หรือระบบ VR ที่ช่วยให้การประชุมทางธุรกิจข้ามชาติมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การพัฒนา AI ที่เฉพาะเจาะจงต่อแต่ละอุตสาหกรรม จะเป็นอีกทิศทางสำคัญ แทนที่จะเป็น AI แปลภาษาทั่วไป อาจจะมี AI ที่เชี่ยวชาญเฉพาะการแปลในสาขาการแพทย์ กฎหมาย วิศวกรรม หรือการเงิน ที่มีความแม่นยำสูงกว่าระบบทั่วไป

การเชื่อมต่อกับ Internet of Things (IoT) จะทำให้บ้าน สำนักงาน หรือโรงงานกลายเป็น "สภาพแวดล้อมอัจฉริยะ" ที่สามารถสื่อสารกับคนได้ในภาษาใดก็ตาม แพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการต่างชาติสามารถควบคุมและจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทสรุป: อนาคตของการสื่อสารไร้พรมแดน

เทคโนโลยี AI แปลภาษาของ iFLYTEK เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม การที่อุปกรณ์เล็กๆ สามารถแปลได้ 85 ภาษาจากกว่า 200 ประเทศ ไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เข้าถึงตลาดโลกที่เคยเป็นสิทธิพิเศษของบริษัทใหญ่เท่านั้น

การพัฒนาของเทคโนโลยีนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของจีนในการสร้างโลกที่เชื่อมต่อกันผ่านแผน Belt and Road Initiative ทุกกำแพงภาษาที่ถูกทำลายลง หมายถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนจากพื้นฐานที่แตกต่างกัน

แม้ AI จะยังไม่สามารถแทนที่ความเข้าใจทางวัฒนธรรมและความละเอียดอ่อนของมนุษย์ได้ แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างคนที่พูดภาษาต่างกัน ในอนาคตอันใกล้นี้ การสื่อสารข้ามภาษาจะกลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนการกดปุ่ม และนั่นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกธุรกิจในศตวรรษที่ 21

ความสำเร็จของ iFLYTEK ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI แปลภาษาไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีของจีน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของมนุษย์ เมื่อเทคโนโลยีถูกนำมาใช้เพื่อลดช่องว่างและสร้างการเชื่อมต่อ นั่นคือเมื่อนวัตกรรมกลายเป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริง