บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เปิดเผยผลการศึกษาองค์กรต้นแบบในยุคปัญญาประดิษฐ์ หรือ "Frontier Firms" พร้อมยกย่อง 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX) บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยี AI มาทำงานร่วมกับมนุษย์อย่างลงตัว
การเปิดเผยครั้งนี้มาพร้อมกับข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงานวิจัย Work Trend Index ประจำปี 2025 ของไมโครซอฟท์ ที่เผยให้เห็นถึงทิศทางการปรับเปลี่ยนองค์กรในยุค AI สู่รูปแบบใหม่ที่เน้นความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในหลายมิติ โดยสะท้อนความเร่งด่วนในการปรับตัวของภาคธุรกิจไทยต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานในอนาคต
ความท้าทายของคนทำงานยุคปัจจุบัน: เมื่อภาระงานล้นมือและการแจ้งเตือนรบกวนตลอดวัน
รายงาน Work Trend Index ของไมโครซอฟท์เผยข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับสภาพการทำงานในปัจจุบัน โดยพบว่าพนักงานไทย 88% รายงานว่าไม่มีแรงและเวลาเพียงพอที่จะรับมือกับงานในมือ ปัญหานี้สะท้อนความจริงของโลกการทำงานที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและภาระงานที่หนักหน่วงเกินไป
สถิติจากการใช้งานเครื่องมือและบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น คนทำงานทั่วโลกจะได้รับข้อความแจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ทุก 2 นาทีโดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น 275 ครั้งในแต่ละวัน การแจ้งเตือนเหล่านี้อาจมาจากหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นอีเมล ข้อความแชท หรือตารางนัดประชุม ซึ่งสร้างการขัดจังหวะการทำงานอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าสนใจคือการกระจายของเวลาประชุม ข้อมูลระบุว่าราวครึ่งหนึ่งของการประชุมในแต่ละวันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานของแต่ละวัน การที่เวลาทองของการทำงานถูกใช้ไปกับการประชุม ทำให้พนักงานต้องเสียเวลาคุณภาพในการทำงานที่ต้องการสมาธิและความคิดสร้างสรรค์
ปรากฏการณ์เหล่านี้สร้างวงจรที่ทำให้พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้า ขาดแรงบันดาลใจ และไม่สามารถใช้ศักยภาพเต็มที่ในการทำงาน ซึ่งส่งผลต่อทั้งความสุขในการทำงานและประสิทธิภาพขององค์กรโดยรวม
วิสัยทัศน์ของผู้นำไมโครซอฟท์: AI เป็นคำตอบสำหรับความท้าทายในโลกการทำงาน
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับบทบาทของ AI ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เขากล่าวว่า "ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คนทำงานมีแรงและเวลาที่จำกัด ระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม"
คำกล่าวนี้สะท้อนความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในองค์กรสมัยใหม่ ระหว่างความต้องการเติบโตของธุรกิจกับข้อจำกัดของทรัพยากรมนุษย์ AI จึงกลายเป็นสะพานที่เชื่อมความต้องการทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน
ธนวัฒน์ย้ำเพิ่มเติมว่า "การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI จึงเป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก" แนวคิดนี้ไม่ได้หมายถึงการทดแทนมนุษย์ด้วย AI แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์แบบเสริมกันระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี
ข้อมูลที่น่าสนใจคือการรับเอา AI เข้าสู่องค์กรไทยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยองค์กรในไทยราว 68% ได้นำ AI เข้ามาเปลี่ยนระบบงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมและวิสัยทัศน์ของภาคธุรกิจไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
สำหรับผลกระทบระยะยาว ธนวัฒน์ชี้ให้เห็นว่า "เราอาจได้เห็นโครงสร้างองค์กร และเส้นทางในอาชีพการงานเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ" ข้อมูลนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของลักษณะงานในอนาคต จากงานประจำและซ้ำซากไปสู่งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการวางแผนเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
แนวทางสู่ Frontier Firm: 3 กลยุทธ์หลักจากการวิจัยของไมโครซอฟท์
ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้พัฒนาแนวทางที่ชัดเจนสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับตัวเพื่อก้าวสู่สถานะ Frontier Firm โดยเสนอ 3 กลยุทธ์หลักที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
กลยุทธ์ที่ 1: การใช้กฎ 80/20 ในการแบ่งงานให้ AI
กลยุทธ์แรกมาจากหลักการที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงสามารถยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน
แนวคิดนี้ไม่ได้หมายถึงการมองว่างานส่วนใหญ่ไม่สำคัญ แต่เป็นการจัดลำดับความสำคัญอย่างชาญฉลาด โดยให้มนุษย์มุ่งเน้นไปที่งานที่สร้างมูลค่าสูงและต้องการความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่ AI ดูแลงานที่ซ้ำซาก มีขั้นตอนชัดเจน และสามารถทำได้ด้วยกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้
การปฏิบัติตามกลยุทธ์นี้ต้องการการวิเคราะห์กระบวนการทำงานอย่างละเอียด เพื่อระบุว่างานส่วนไหนสร้างมูลค่าสูงและต้องการการตัดสินใจของมนุษย์ และงานส่วนไหนที่ AI สามารถเข้ามาช่วยได้ การแบ่งแยกนี้จะช่วยให้องค์กรใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
กลยุทธ์ที่ 2: การปรับมุมมองสู่ผังเนื้องานแทนโครงสร้างแผนก
กลยุทธ์ที่สองเป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในการมององค์กร เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ
แนวคิดนี้ท้าทายโครงสร้างองค์กรแบบเดิมที่แบ่งแยกหน้าที่อย่างชัดเจนตามแผนกหรือฝ่าย แทนที่จะมององค์กรเป็นกล่องๆ ที่แยกจากกัน Frontier Firm จะมององค์กรเป็นเครือข่ายของกระบวนการทำงานที่เชื่อมโยงกัน
AI สามารถทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างกระบวนการต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติหรือการส่งต่องานระหว่างแผนก ความสามารถนี้ช่วยลดเวลาในการประสานงาน ลดข้อผิดพลาดจากการสื่อสาร และเพิ่มความเร็วในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า
การปรับเปลี่ยนมุมมองนี้ต้องการความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับกระบวนการทำงานทั้งหมดขององค์กร รวมถึงจุดที่เกิดความล่าช้าหรือปัญหาในการประสานงาน เพื่อนำ AI เข้ามาแก้ไขจุดเหล่านั้นอย่างเป็นระบบ
กลยุทธ์ที่ 3: การบริหาร AI เหมือนการบริหารพนักงาน
กลยุทธ์ที่สามเป็นการปฏิวัติแนวคิดเกี่ยวกับ AI จากเครื่องมือไปสู่สมาชิกของทีม AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์
การปฏิบัติตามกลยุทธ์นี้อาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐานที่ให้กับ AI เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง กระบวนการเหล่านี้คล้ายกับการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงานใหม่
ความสำคัญของกลยุทธ์นี้อยู่ที่การตั้งคาดหวังและเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับ AI Agent แต่ละตัว การติดตามประเมินผลการทำงาน และการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการบริหารทรัพยากรบุคคล
แนวโน้มในอนาคตจะเป็นรูปแบบการทำงานที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเตรียมความพร้อมสำหรับรูปแบบการทำงานนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสนใจตั้งแต่วันนี้
SCBX: การเดินทางสู่ AI-First Organization ด้วยการมีส่วนร่วมของทุกคน
กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX) โดดเด่นในฐานะหนึ่งใน Frontier Firm ของไทยด้วยการสานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization อย่างเป็นระบบและครอบคลุม องค์กรได้สนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง
ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยถึงปรัชญาการทำงานที่น่าสนใจว่า "เราส่งเสริมการใช้ AI ให้พนักงานมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดและขยายขีดความสามารถของฟังก์ชันงานที่เรามีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพ ละเอียด และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย AI"
สิ่งที่น่าประทับใจคือแนวทางของ SCBX ในการให้พนักงานเป็นผู้พัฒนา AI ด้วยตนเอง ลลินทิพย์อธิบายว่า "ซึ่งออกแบบและพัฒนาโดยบุคลากรภายในองค์กรของเราเอง แสดงให้เห็นว่าพนักงานทุกคนและทุกฝ่ายสามารถมีส่วนพัฒนาการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอที"
แนวทางนี้สะท้อนความเชื่อที่ว่า AI ไม่ใช่เทคโนโลยีที่ซับซ้อนเกินไปสำหรับคนทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้โดยทุกคน การเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมในการพัฒนา AI ช่วยสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและการยอมรับเทคโนโลยีใหม่
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ที่เป็นรูปธรรมคือ "ระบบวิเคราะห์และปรับปรุงวิธีการสื่อสารกับลูกค้าของพนักงานสาขาในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการและความถูกต้องของข้อมูล" ระบบนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ AI ในงานที่ใกล้ชิดกับลูกค้า ซึ่งต้องการความแม่นยำและความเข้าใจในบริบทของธุรกิจ
การพัฒนา AI โดยพนักงานภายในองค์กรมีข้อดีหลายประการ ได้แก่ ความเข้าใจลึกซึ้งในกระบวนการทำงาน การตอบสนองความต้องการเฉพาะของแต่ละหน่วยงาน และการสร้างขีดความสามารถภายในที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังช่วยลดการพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอกและเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับปรุงระบบ
SCBX ได้แสดงให้เห็นว่าการเป็น AI-first organization ไม่ได้หมายถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วย AI
SCG Chemicals: การปฏิวัติอุตสาหกรรมเคมีด้วย AI Everyday และโครงการ AILY
บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ผู้นำด้านนวัตกรรมพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ได้แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ AI ในอุตสาหกรรมเคมีอย่างเป็นระบบและครอบคลุม ด้วยแนวคิด "AI Everyday" ที่ส่งเสริมให้พนักงานนำ AI มาใช้ในการทำงานทุกวัน
สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director ของ SCGC อธิบายถึงวิสัยทัศน์ขององค์กรว่า การนำ AI มาใช้เป็นเพื่อ "เพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน"
ความโดดเด่นของ SCGC อยู่ที่การเลือกใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายและเสริมกัน สัญญาเผยว่า "SCGC เลือกใช้เทคโนโลยี Azure OpenAI Service, Power Platform และ AI Hub เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา AI ในองค์กร โดยเฉพาะกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence"
การใช้ Azure OpenAI Service แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี AI ระดับองค์กร ขณะที่ Power Platform ช่วยให้พนักงานสามารถสร้างแอปพลิเคชันและระบบอัตโนมัติได้ด้วยตนเอง AI Hub ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดการและพัฒนา AI ทั่วทั้งองค์กร
ไฮไลท์สำคัญคือโครงการ "AILY" ที่ SCGC พัฒนาขึ้นโดยใช้ Microsoft Azure OpenAI Service เป็นพื้นฐาน สัญญาอธิบายว่า "เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน โดยพนักงานทุกคนสามารถใช้งาน AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย"
โครงการ AILY มีความสำคัญหลายประการ ประการแรก คือการทำให้ AI เข้าถึงได้โดยพนักงานทุกคน ไม่จำกัดเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ประการที่สอง คือการรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลภายในองค์กร ซึ่งเป็นข้อกังวลสำคัญในการนำ AI มาใช้งาน
ผลกระทบของโครงการนี้ตามที่สัญญาระบุคือ "การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วทั้งองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในระดับเทคโนโลยี แต่รวมถึงการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานและกระบวนการตัดสินใจ
สิ่งที่น่าสนใจคือการใช้ AI ในการประมวลผลข้อมูล Market Intelligence ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถของ AI ในการวิเคราะห์และสรุปข้อมูลขนาดใหญ่ช่วยให้ SCGC สามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
การประสบความสำเร็จของ SCGC ในการนำ AI มาใช้สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นความแม่นยำและความปลอดภัยสูง สามารถได้รับประโยชน์จาก AI ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การตัดสินใจ และการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา: การปฏิวัติระบบกฎหมายด้วยโครงการ TH2OECD
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการปรับปรุงระบบราชการและการบริหารกฎหมายผ่านโครงการ "TH2OECD" ที่มีความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ไกลโพ้น โครงการนี้สานต่อภารกิจสำคัญของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
ควบคู่ไปกับเป้าหมายระดับชาติ โครงการยังมุ่งเน้นการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการปฏิวัติวิธีการทำงานในภาคราชการที่ต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล
ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เผยให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสที่ AI นำมาสู่งานด้านกฎหมาย
"AI มีส่วนช่วยให้เราก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน" ดร.ณรัณอธิบายถึงความสำคัญของ AI ในการจัดการกับความซับซ้อนของภาษากฎหมาย
ความท้าทายด้านภาษาเป็นปัญหาที่สำคัญในการทำงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศ การแปลและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษต้องการความแม่นยำสูง เพราะความผิดพลาดเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบต่อการตีความและการปฏิบัติตามกฎหมาย AI สามารถช่วยลดข้อผิดพลาดเหล่านี้และเพิ่มความสอดคล้องในการแปล
ดร.ณรัณเผยเพิ่มเติมว่า AI "เปิดโอกาสให้เราวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้" ความสามารถนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเป้าหมายของไทยในการเข้าร่วม OECD
การวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมายไทยและมาตรฐาน OECD เป็นงานที่ซับซ้อนและใช้เวลามาก เพราะต้องพิจารณากฎหมายหลายฉบับ เปรียบเทียบกับมาตรฐานสากล และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น AI สามารถเร่งกระบวนการนี้และเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์
ประโยชน์ของ AI ไม่ได้จำกัดเฉพาะงานระดับนโยบาย ดร.ณรัณระบุว่า "AI ยังช่วยให้นักกฎหมายของเราทำงานได้เร็วขึ้นในการค้นหาข้อมูลกฎหมายจากฐานข้อมูล การสรุปและกำหนดแนวทางการทำงาน รวมทั้งการพัฒนานโยบายและหลักกฎหมายให้เข้ากับบริบทปัจจุบันของสังคม"
การค้นหาข้อมูลกฎหมายจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่เป็นงานที่ใช้เวลามากในอดีต นักกฎหมายต้องค้นหาผ่านเอกสารจำนวนมาก อ่านและวิเคราะห์เพื่อหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง AI สามารถทำงานนี้ได้รวดเร็วและครอบคลุมกว่า ช่วยให้นักกฎหมายมีเวลาไปมุ่งเน้นกับการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ
การสรุปและกำหนดแนวทางการทำงานเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ AI แสดงศักยภาพ การสรุปเอกสารกฎหมายที่ซับซ้อนให้เป็นแนวทางที่เข้าใจง่ายต้องการทักษะในการสกัดประเด็นสำคัญและการนำเสนอที่ชัดเจน AI สามารถช่วยในขั้นตอนการสกัดข้อมูลและการจัดระเบียบ ขณะที่นักกฎหมายมนุษย์ทำหน้าที่ในการตรวจสอบและปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบท
ที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนานโยบายและหลักกฎหมายให้เข้ากับบริบทปัจจุบันของสังคม กฎหมายต้องทันสมัยและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม AI สามารถช่วยวิเคราะห์แนวโน้มและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้การพัฒนากฎหมายมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
โครงการ TH2OECD แสดงให้เห็นว่าภาคราชการสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในงานที่ต้องจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ ความซับซ้อนสูง และความต้องการความแม่นยำ การประสบความสำเร็จของโครงการนี้อาจเป็นแบบอย่างสำหรับหน่วยงานราชการอื่นๆ ในการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการบริการ
ผลกระทบระยะยาวและแนวโน้มอนาคตของการใช้ AI ในองค์กรไทย
การศึกษาและตัวอย่างจากทั้งสามองค์กรชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญหลายประการที่จะส่งผลต่อภูมิทัศน์การทำงานในไทยในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในระดับเทคโนโลยี แต่ครอบคลุมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร วัฒนธรรมการทำงาน และทักษะที่จำเป็นสำหรับคนทำงานในอนาคต
การปรับเปลี่ยนบทบาทของพนักงาน
ข้อมูลที่ว่า 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของลักษณะงาน พนักงานจะได้รับการยกระดับจากการทำงานประจำและการทำงานซ้ำซากไปสู่งานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าทักษะที่จำเป็นสำหรับคนทำงานในอนาคตจะเน้นไปที่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การสื่อสาร และการทำงานร่วมกับ AI ทักษะทางเทคนิคแบบเดิมที่สามารถทำให้เป็นอัตโนมัติได้จะมีความสำคัญลดลง ขณะที่ทักษะด้านการจัดการ AI และการตีความผลลัพธ์จาก AI จะกลายเป็นทักษะหลักที่ขาดไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร
แนวคิดเรื่องการปรับมุมมองสู่ผังเนื้องานแทนโครงสร้างแผนกที่ไมโครซอฟท์เสนอ จะส่งผลต่อการออกแบบองค์กรในอนาคต องค์กรจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น มีการทำงานข้ามฟังก์ชันมากขึ้น และมีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น
AI จะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างส่วนงานต่างๆ ขององค์กร ช่วยลดความจำเป็นในการมีขั้นตอนการอนุมัติที่ซับซ้อนและการประสานงานระหว่างแผนกที่ใช้เวลานาน ผลลัพธ์คือองค์กรที่มีความคล่องตัวและสามารถปรับตัวได้เร็วกว่า
การพัฒนาขีดความสามารถภายใน
ตัวอย่างจาก SCBX ที่ให้พนักงานพัฒนา AI ด้วยตนเองแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญในการสร้างขีดความสามารถภายใน แทนที่จะพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอก องค์กรจะลงทุนในการพัฒนาความสามารถของพนักงานในการสร้างและจัดการเครื่องมือ AI
แนวโน้มนี้จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการฝึกอบรมและการพัฒนาพนักงาน หลักสูตรการเรียนรู้จะเน้นไปที่การสอนพนักงานให้สามารถทำงานกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะเน้นเฉพาะทักษะทางเทคนิคแบบเดิม
ความปลอดภัยและการจัดการข้อมูล
ประสบการณ์จาก SCGC และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลในการใช้ AI การพัฒนาระบบ AI ที่สามารถทำงานกับข้อมูลภายในองค์กรได้อย่างปลอดภัยจะเป็นความได้เปรียบทางแข่งขันที่สำคัญ
องค์กรจะต้องลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ การจัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล และการสร้างมาตรฐานในการใช้ AI ที่ปลอดภัย
การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ต่อเนื่อง
ทั้งสามองค์กรมีจุดร่วมในการส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้และทดลองใช้ AI วัฒนธรรมการเรียนรู้ต่อเนื่องจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จขององค์กรในยุค AI
องค์กรจะต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทดลอง การเรียนรู้จากความผิดพลาด และการแบ่งปันความรู้ระหว่างพนักงาน การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ภายในองค์กรจะช่วยให้การนำ AI มาใช้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
บทสรุป: ก้าวสู่อนาคตด้วยการเป็นหุ้นส่วนกับ AI
การศึกษาครั้งนี้ของไมโครซอฟท์และตัวอย่างจากสามองค์กรชั้นนำของไทยเผยให้เห็นภาพชัดเจนของอนาคตการทำงานที่ AI และมนุษย์ทำงานร่วมกันเป็นหุ้นส่วน ไม่ใช่การแทนที่กัน แต่เป็นการเสริมกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่เคยเป็นมา
ความสำเร็จของ SCBX ในการสร้าง AI-first organization SCGC ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมเคมีด้วย AI Everyday และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในการยกระดับระบบราชการด้วยโครงการ TH2OECD แสดงให้เห็นว่าการนำ AI มาใช้ไม่ได้จำกัดเฉพาะอุตสาหกรรมหรือประเภทขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง
หลักการสำคัญที่องค์กรทุกประเภทสามารถนำไปปฏิบัติได้ ได้แก่ การเริ่มต้นจากการระบุงานที่ AI สามารถช่วยได้ การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และการทดลอง การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูล และการพัฒนาทักษะของพนักงานในการทำงานกับ AI
การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นในข้ามคืน แต่ต้องการการวางแผนอย่างเป็นระบบ การลงทุนในการพัฒนาบุคลากร และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม องค์กรที่เริ่มต้นการเดินทางนี้ตั้งแต่วันนี้จะมีความได้เปรียบทางแข่งขันในอนาคต
สถิติที่ว่าองค์กรในไทย 68% ได้นำ AI เข้ามาเปลี่ยนระบบงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ในจุดเริ่มต้นที่ดีของการปฏิวัติ AI ความท้าทายต่อไปคือการยกระดับจากการใช้ AI ในงานเฉพาะด้านไปสู่การเป็น Frontier Firm ที่ AI เป็นส่วนหนึ่งของ DNA องค์กร
อนาคตของการทำงานจะเป็นอนาคตที่มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยแต่ละฝ่ายจะทำในสิ่งที่ตนเองเก่งที่สุด AI จะดูแลงานที่ต้องการความเร็ว ความแม่นยำ และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ขณะที่มนุษย์จะมุ่งเน้นไปที่งานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และการสร้างสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตนี้ไม่ได้หมายถึงการรอให้เทคโนโลยีสมบูรณ์แบบ แต่เป็นการเริ่มต้นการเรียนรู้และการทดลองตั้งแต่วันนี้ องค์กรที่ประสบความสำเร็จในยุค AI จะเป็นองค์กรที่กล้าทดลอง เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และปรับตัวได้เร็ว
ภาพอนาคตที่ไมโครซอฟท์และสามองค์กรต้นแบบเหล่านี้วาดให้เห็นคือภาพของการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น และสร้างมูลค่าให้กับสังคมมากขึ้น การเดินทางสู่อนาคตนี้เริ่มต้นด้วยการตัดสินใจที่จะก้าวออกจากเขตความสะดวกสบายและเรียนรู้วิธีการเป็นหุ้นส่วนกับ AI
สำหรับองค์กรไทยที่ต้องการก้าวสู่สถานะ Frontier Firm คำถามไม่ใช่ว่าจะนำ AI มาใช้เมื่อไหร่ แต่เป็นว่าจะเริ่มต้นการเดินทางนี้อย่างไรให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืน ประสบการณ์ของสามองค์กรเหล่านี้เป็นแสงสว่างที่ส่องทางและเป็นแรงบันดาลใจสำหรับองค์กรอื่นๆ ที่พร้อมจะเขียนเรื่องราวความสำเร็จของตนเองในยุค AI