สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยพบว่าหนี้ครัวเรือนของไทยปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่า 15 ปี นับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจ สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและยั่งยืน
สถิติน่าตกใจ: หนี้ครัวเรือนไทยพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 2567 พบว่า ครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินเฉลี่ยสูงถึง 606,378 บาทต่อครัวเรือน นับเป็นระดับสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจเมื่อปี 2552 และเพิ่มขึ้นจากปี 2566 คิดเป็น 8.4% จากภาระหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนไทยปี 2566 ที่เฉลี่ย 559,408 บาทต่อครัวเรือน
ในจำนวนหนี้ทั้งหมดนี้ เป็นหนี้ในระบบ 69.9% และอีก 30.1% เป็นหนี้นอกระบบ ซึ่งมักมีอัตราดอกเบี้ยสูงและเงื่อนไขที่เป็นภาระหนักกว่าหนี้ในระบบ
10 สาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
ผลสำรวจยังได้เปิดเผยถึงสาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น 10 อันดับแรก ดังนี้
- รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย 14%
- มีเหตุไม่คาดคิดที่ต้องใช้เงินฉุกเฉิน 12.4%
- ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น 12%
- ภาระทางการเงินของครอบครัวสูงขึ้น 11.2%
- ล้มเหลวจากการลงทุน 9.7%
- ลงทุนประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น 8.8%
- ซื้อสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น 7.7%
- ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น 7%
- ค่าเล่าเรียนของบุตรหลาน 4.1%
- ขาดรายได้ เนื่องจากถูกออกจากงาน 3.9%
พฤติกรรมแก้ปัญหาเมื่อรายได้ไม่พอใช้ - วัฏจักรแห่งหนี้สิน
เมื่อประชาชนประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ผลการสำรวจพบว่า 55% ใช้วิธีกู้ยืมจากแหล่งต่างๆ, 25.1% ใช้วิธีประหยัดและลดค่าใช้จ่าย, 10.4% ดึงเงินออมออกมาใช้ และมีเพียง 9.5% เท่านั้นที่เลือกหารายได้เพิ่ม
สำหรับแหล่งกู้ยืมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การกดเงินสดจากบัตรเครดิต 24.8% รองลงมาคือ กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ 23.7%, กู้เงินจากธนาคารเฉพาะกิจ 21.2% และการจำนำสินทรัพย์ 7.9% ตามลำดับ
ที่น่าตกใจคือ 71.6% ของผู้ที่มีหนี้สินเคยมีปัญหาผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนได้เข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างแท้จริง
มุมมองนักวิชาการ: ถอดรหัสหนี้ครัวเรือนในเชิงเศรษฐศาสตร์
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนคนไทยอย่างยั่งยืนในเชิงเศรษฐศาสตร์ว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องเข้าใจจากพื้นฐานการกู้หนี้ยืมสินตามช่วงชีวิตมนุษย์ 3 ช่วงใหญ่ คือ วัยเรียน วัยแรงงาน และวัยสูงอายุ
ดร.นณริฏ อธิบายว่า ช่วงวัยแรงงานเป็นช่วงหลักที่คนเราหารายได้ โดยรายได้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าเราทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการศึกษาสูงมักเป็นปัจจัยที่ช่วยให้มีโอกาสได้งานที่ดีและมีรายได้สูง ดังนั้น "การกู้หนี้ยืมสินเพื่อการศึกษา" จึงถือเป็นการลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ที่ยอมจ่ายไปก่อนเพื่อให้มีรายได้ที่ดีขึ้นในอนาคต
ประเภทของหนี้: การลงทุนหรือการบริโภค?
ดร.นณริฏ แบ่งประเภทของหนี้เป็น 2 กลุ่มหลัก:
-
หนี้เพื่อการลงทุน - เป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต เช่น การกู้เงินเพื่อการศึกษา หรือการซื้อรถจักรยานยนต์เพื่อใช้ในการรับส่งพัสดุหรืออาหาร หนี้ประเภทนี้ไม่เป็นปัญหา เพราะสามารถสร้างรายได้เพิ่มในอนาคต
-
หนี้เพื่อการบริโภค - เป็นหนี้ที่เกิดจากการใช้จ่ายเพื่อความต้องการในปัจจุบัน เช่น การซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย หรือการกู้เงินมาใช้โดยไม่ก่อให้เกิดรายได้ หนี้ประเภทนี้ควรหลีกเลี่ยง เพราะแทนที่จะกู้เพื่อบริโภค ควรอดออมสะสมโภคทรัพย์ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในยามเกษียณได้อย่างมั่นคง
"วิกฤตเรื่องหนี้เกิดจากความไม่สมดุล แทนที่เราจะเอาเงินมาลงทุน แต่ปรากฏว่าเราเอาไปลงในส่วนที่เป็นการบริโภค ซึ่งมันขัดหลักทฤษฎี" ดร.นณริฏ กล่าว
ปัจจัยภายนอกซ้ำเติมวิกฤตหนี้ครัวเรือน
นอกจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนแล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกที่ซ้ำเติมวิกฤตหนี้ครัวเรือนให้รุนแรงยิ่งขึ้น ดร.นณริฏ ชี้ให้เห็นว่า ในอดีตวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ มักเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง โดยย้อนไปดูวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 วิกฤตการเงินของสหรัฐปี 2550 และวิกฤตโควิด-19 ปี 2563 จะเห็นได้ว่าวิกฤตต่างๆ เกิดขึ้นเฉลี่ยประมาณ 7-10 ปีต่อครั้ง
แต่หลังจากวิกฤตโควิด-19 ปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นซ้ำซ้อนกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือแม้แต่นโยบายภาษีของสหรัฐ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การคาดการณ์และการแก้ไขปัญหาผิดพลาด "จากที่เราคิดว่านานๆ ทีถึงจะเกิดวิกฤต แล้วเรามีเวลาที่จะแก้ปัญหา แต่กลายเป็นว่าปัญหามันซ้ำซ้อนเข้ามาเรื่อยๆ" ดร.นณริฏกล่าว
ศักยภาพของรัฐในการแก้ปัญหาถดถอย
อีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน คือ ศักยภาพของภาครัฐที่ถดถอยลง ดร.นณริฏ ชี้ว่า ในอดีตประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถานะทางการคลังที่ดี มีหนี้สาธารณะต่ำ เมื่อเกิดวิกฤตรัฐบาลจึงสามารถกู้เงินมาแก้ไขปัญหาได้ เช่น ในช่วงโควิด-19 ที่มีการออก พ.ร.ก. เงินกู้หลายฉบับ
แต่ปัจจุบัน หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มสูงขึ้นมาก จากที่เคยอยู่ประมาณ 45% ของ GDP มาอยู่ที่ประมาณ 65% และมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 70% ซึ่งทำให้รัฐขาดศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเดิม และส่งผลให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนยิ่งซับซ้อนมากขึ้น
หลักการสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้: "มีหนี้ต้องจ่ายหนี้"
เมื่อถามถึงแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนทั้งในระบบและนอกระบบ ดร.นณริฏ เน้นย้ำถึงหลักการพื้นฐานว่า "มีหนี้ต้องจ่ายหนี้" เนื่องจากทุกหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นการตกลงระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้โดยสมัครใจทั้งสองฝ่าย
"ถ้าภาครัฐเข้ามาช่วยมากเกินไป มันมีความเสี่ยงที่จะทำลายหลักการนี้ ถ้าลูกหนี้เห็นว่าไม่จ่ายแล้วภาครัฐจะเข้ามาอุ้ม แก้หนี้ให้ ลูกหนี้ก็จะไม่มีแรงจูงใจที่จะแก้ไขปัญหาหรือคืนหนี้ ซ้ำร้ายยังทำให้คนที่ประพฤติดี จ่ายหนี้ตรงเวลา กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ" ดร.นณริฏกล่าว
5 แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน
ดร.นณริฏ เสนอแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 5 ประการ ดังนี้
1. ผลักดันหนี้นอกระบบเข้าสู่ระบบ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูง ควรผลักดันให้เข้ามาอยู่ในระบบเพื่อให้ดอกเบี้ยลดลง เช่น โครงการของธนาคารที่ให้ลูกหนี้นอกระบบมาลงทะเบียน เพื่อให้ธนาคารช่วยปิดหนี้นอกระบบ แล้วลูกหนี้มาชำระหนี้กับธนาคารในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า
2. มาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" การช่วยลูกหนี้ลดภาระค่างวดและดอกเบี้ย ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าลูกหนี้ต้องปรับพฤติกรรมด้วย เช่น จ่ายหนี้ให้ตรงเวลา เพื่อให้ยอดหนี้เบาบางลงและมีเงื่อนไขที่ดีขึ้น
3. ปรับปรุงความเป็นธรรมในการคิดอัตราดอกเบี้ย พิจารณาความเหมาะสมของสัญญาเงินกู้ รวมทั้งค่าปรับและการคิดดอกเบี้ย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดภาระให้กับลูกหนี้ เช่น กรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้งวดล่าสุด แต่ถูกคิดดอกเบี้ยบนฐานของทุกงวดที่เหลือ
4. พัฒนาระบบ Big Data และเครดิตสกอริ่ง รวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างระบบคะแนนเครดิต (Credit Scoring) เพื่อให้ผู้ที่มีรายได้น้อยหรือไม่มีประวัติทางการเงินสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ช่วยลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ
5. ให้ความรู้ด้านการเงิน ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารการเงิน การก่อหนี้ที่เหมาะสม การแยกแยะระหว่างหนี้เพื่อการลงทุนและหนี้เพื่อการบริโภค รวมทั้งการเตรียมความพร้อมสำหรับวัยเกษียณ เพื่อให้ประชาชนมีทักษะในการจัดการการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
ดร.นณริฏ เสนอว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่เป็นเจ้าหนี้หลัก ร่วมกับกระทรวงการคลัง ในการวางกลยุทธ์และยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ ควรดึงสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเข้ามามีส่วนร่วม โดยบรรจุแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2571-2575) ด้วย
เกณฑ์การช่วยเหลือที่ชัดเจน: มุ่งเน้นกลุ่มที่พยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จ
ดร.นณริฏ ย้ำว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องไม่เป็นการ "ลูบหน้าปะจมูก" แต่ต้องมีเกณฑ์ที่ชัดเจนในการช่วยเหลือ โดยมุ่งเน้นเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และพยายามต่อสู้แล้วแต่ไม่สำเร็จ ไม่ควรให้ความช่วยเหลือแบบทั่วไปโดยไม่มีเงื่อนไข
"ต้องยอมรับว่าทั้งวิกฤตโควิด แผ่นดินไหว และภาษีทรัมป์ มันเข้ามาพร้อมๆ กัน ในแง่นี้มันมีมุมที่ภาครัฐอยากจะช่วยก็สามารถช่วยเคลียร์หนี้ให้กับธุรกิจบางส่วนได้ แต่ต้องเป็นกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มทั่วๆ ไป แต่ต้องเป็นกลุ่มเฉพาะที่อาจเจอหนี้ตอนโควิดแล้วพยายามต่อสู้ แต่ต่อสู้ไม่ได้ ก็อาจเข้าไปดูและไปช่วยลดหนี้ให้เขาเป็นจุดๆ ไป" ดร.นณริฏ กล่าว
การสร้างรายได้อย่างยั่งยืน: ไม่ใช่แค่มาตรการระยะสั้น
สำหรับแนวทางการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชน ดร.นณริฏ เตือนว่า ต้องคำนึงถึงความยั่งยืนของมาตรการต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างงานชั่วคราว เช่น การสร้างรั้ว หรือทาสีอาคารของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยั่งยืน
"โลกปัจจุบันความท้าทายทางเศรษฐกิจมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วตอนนี้เรากำลังเข้าสู่สถานะ Upper-middle-income คือ รายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง แปลว่า เครื่องมือพื้นฐานในการที่รัฐเข้ามาแทรกแซงจะน้อยมาก ถามว่าทำได้ไหม คือ ทำได้ แต่ต้องเลือกวิธีการให้ดี" ดร.นณริฏ กล่าว
ดร.นณริฏ เสนอให้เน้นการพัฒนาศักยภาพในระยะยาว โดยเฉพาะการให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และการวิจัยสนับสนุนและพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ในระยะยาวและสอดคล้องกับระดับการพัฒนาของประเทศ
บทสรุป: การแก้ปัญหาหนี้ต้องตรงจุดและยั่งยืน
การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องได้รับการบูรณาการจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยต้องคำนึงถึงหลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ และการสร้างความสมดุลระหว่างการช่วยเหลือในระยะสั้นและการพัฒนาศักยภาพในระยะยาว
การเลือกแนวทางที่เหมาะสมและมีเป้าหมายชัดเจนในการแก้ปัญหา จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถฝ่าฟันวิกฤตหนี้ครัวเรือนไปได้ และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต ทั้งนี้ ความสำเร็จในการแก้ปัญหาขึ้นอยู่กับความร่วมมือและความตั้งใจจริงของทุกฝ่าย ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและนโยบายเพื่อสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน