อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากการแข่งขันของผู้ผลิตจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่เข้ามาตีตลาดด้วยข้อได้เปรียบด้านราคา ส่งผลให้อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในประเทศต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งการเน้นงานดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศเอเชียที่มีกำลังซื้อสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโต คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดอาจทะลุหมื่นล้านบาทในปีนี้ แม้จะมีความท้าทายรอบด้านก็ตาม
สถานการณ์ตลาดเฟอร์นิเจอร์ไทยชะลอตัวต่อเนื่อง
ภาพรวมตลาดอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการออกแบบในประเทศไทยกำลังเผชิญกับสภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์มากนัก ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้มาจากการที่มีคู่แข่งจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันในตลาดอย่างต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด
ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มหันมาสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มมากขึ้น (Niche Market) รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าของสินค้าด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น
ล่าสุด "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษ นายอมรเทพ คัชชานนท์ นายกสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ ผู้จัดงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ "STYLE" เมื่อเร็ว ๆ นี้ เกี่ยวกับทิศทาง โอกาส และความท้าทายในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยภายใต้ปัจจัยที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ
เปลี่ยนทิศทางเน้นตลาดเอเชีย แข่งขันด้วยงานดีไซน์
นายอมรเทพเปิดเผยว่า สำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ภายในประเทศค่อนข้างที่จะเงียบเหงามาระยะหนึ่งแล้ว จากการประเมินสถานการณ์และติดตามข้อมูลจากการพูดคุยกับผู้ประกอบการหลายกลุ่ม พบว่ามีสินค้าเฟอร์นิเจอร์จากจีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย เข้ามาตีตลาดในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของราคาที่ถูกกว่าเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ไทยประสบปัญหาในการแข่งขัน
"ในส่วนของการส่งออกนั้น ปริมาณค่อนข้างลดลงอย่างเห็นได้ชัด ตลาดหลักอย่างประเทศญี่ปุ่นที่เราเคยส่งออกไปในปริมาณมาก จากการติดตามข้อมูลในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่าการส่งออกลดลงอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากปัญหาสภาวะเศรษฐกิจในญี่ปุ่นที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่" นายอมรเทพกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยุโรปซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของเฟอร์นิเจอร์ไทยก็เงียบเหงามานาน การส่งออกมีปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกา แม้จะยังมีการส่งออกอยู่บ้าง แต่มีความผันผวนสูง ขึ้นลงไม่แน่นอน จึงไม่สามารถพึ่งพาได้อย่างมั่นคง
จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ไทยปรับเปลี่ยนทิศทางการส่งออก โดยหันมาเน้นการส่งออกไปยังประเทศในแถบเอเชียมากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่ยังมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอินเดีย ที่มีความสนใจในเฟอร์นิเจอร์ไทยเป็นอย่างมาก
"สำหรับตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เราไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ จึงต้องเน้นการแข่งขันในด้านของงานดีไซน์ การพัฒนาวัสดุและเทคนิคการผลิตที่มีความแตกต่างจากคู่แข่งในกลุ่มประเทศเอเชียด้วยกัน โดยเฉพาะจีน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายอมรเทพอธิบาย
ในปัจจุบัน การส่งออกที่เน้นปริมาณไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้อีกต่อไป เนื่องจากเป็นการแข่งขันที่ยากลำบากมาก แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรทำคือการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีความเฉพาะเจาะจง การค้นหาช่องว่างของตลาด (Market Gap) ซึ่งจะเป็นทางออกที่ดีกว่า รวมไปถึงการเน้นการบริการและการผลิตสินค้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์ (Unique) มากขึ้น
สัญญาณชะลอตัวเริ่มตั้งแต่ก่อนโควิด ผู้ประกอบการต้องปรับตัวหนัก
นายอมรเทพเปิดเผยเพิ่มเติมว่า การชะลอตัวของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านนั้น เริ่มเห็นสัญญาณมาตั้งแต่ช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากการแข่งขันในตลาดโลกทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะหากยังคงดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม ๆ โดยไม่มีการปรับตัว และเมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปรับตัว ไม่มีความยืดหยุ่นในการผลิต และยังคงยึดติดกับแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบเดิม ๆ จะประสบปัญหาอย่างหนักในการแข่งขัน
"ในช่วงโควิด-19 มีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ต้องปิดกิจการลง แต่ในกลุ่มที่ยังคงดำเนินธุรกิจได้ คือกลุ่มที่มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ลดคำสั่งซื้อที่เป็นขนาดใหญ่ ลดการแข่งขันด้านปริมาณ หันมาเพิ่มความหลากหลายของสินค้า เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน และตอบสนองงานด้านการออกแบบที่มีความแตกต่างจากคู่แข่ง" นายอมรเทพกล่าว
นอกจากนี้ เทรนด์ของเฟอร์นิเจอร์ในปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนแปลงไป แม้จะผลิตสินค้าในปริมาณที่น้อยลง แต่หากสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้ ก็ยังทำให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่ากระบวนการผลิตจะมีความซับซ้อนและยุ่งยากมากขึ้นก็ตาม ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
"อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ยังมีโอกาสเติบโตไปได้ถึง 10,000 ล้านบาท จากปัจจัยหนุนหลายประการ เช่น การเข้ามาลงทุนของโครงการขนาดใหญ่ และความหลากหลายของธุรกิจ ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงหลังจากวิกฤตโควิด-19 ภาคเอกชนเริ่มมีความต้องการที่จะรีโนเวทและตกแต่งบ้านในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินค้าเฟอร์นิเจอร์เพิ่มสูงขึ้นด้วย" นายอมรเทพให้ความเห็น
กังวลผู้ประกอบการจีนรุกตลาดไทย แย่งชิงฐานลูกค้า
นายอมรเทพเปิดเผยว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมามีการขยับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีผู้ประกอบการลงทุนเพิ่มมากขึ้นทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีเทรนด์บางอย่างที่ทำให้ลูกค้าสนใจเข้ามาสั่งซื้อสินค้าในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการให้ความสนใจเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ทำให้ได้เห็นงานออกแบบและโครงการที่น่าสนใจ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลงทุนในประเทศไทยและให้ความสนใจกับเฟอร์นิเจอร์ไทยมากขึ้น
"เรามองว่าแนวโน้มของตลาดยังคงมีทิศทางที่ดี แม้ว่าภาพรวมการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะยุโรปที่ยังคงมีการชะลอตัว แม้จะยังมีลูกค้าที่มีคำสั่งซื้ออยู่บ้างก็ตาม แต่การนำเข้าสินค้าจากไทยก็มีการพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้น" นายอมรเทพกล่าว
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกในปัจจุบัน ได้แก่ ค่าขนส่งที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากปัญหาความขัดแย้งและสงครามในหลายภูมิภาค นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ที่จำเป็นต้องจองล่วงหน้าเป็นเวลานาน ซึ่งในช่วงปกติการส่งออกจะใช้เวลาไม่เกินสองเดือน แต่ในปัจจุบันต้องมีการวางแผนและคาดการณ์ล่วงหน้าถึงสามเดือน ทำให้การส่งออกไปยังตลาดยุโรปมีความยากลำบากมากยิ่งขึ้น
"ลูกค้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงหันมาสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในแถบเอเชียมากขึ้น และจากการเติบโตของตลาดในภูมิภาคนี้ ทำให้มีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการจากประเทศจีน ซึ่งมีความพร้อมในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร" นายอมรเทพกล่าวด้วยความกังวล
เขาเสริมว่า "หากผู้ประกอบการไทยจะแข่งขันกับผู้ประกอบการจากจีนในลักษณะเดียวกัน ก็จะยิ่งมีความยากลำบากมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญและกังวลพอสมควร มากกว่าการเข้ามาของนักลงทุนจากชาติอื่น ๆ เช่น รัสเซีย ที่มักจะเข้ามาเพื่อทำธุรกิจด้านการออกแบบและดีไซน์เป็นหลัก"
ปรับตัวสู่เทรนด์รักษ์โลก สร้างจุดแข็งในตลาดเฟอร์นิเจอร์
นายอมรเทพมองว่า การปรับตัวและการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าจะเป็นทางรอดที่สำคัญของผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ไทยในอนาคต รวมไปถึงการพัฒนางานด้านวัสดุที่ต้องตอบโจทย์กับเทรนด์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสิ่งแวดล้อม การใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์
"เทรนด์เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่น่าสนใจและมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะในอนาคตอันใกล้ กำแพงภาษีและเงื่อนไขการส่งออกจะนำประเด็นเหล่านี้มาเป็นอำนาจต่อรองในการนำเข้า-ส่งออกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศยุโรปซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก" นายอมรเทพอธิบาย
เขาเสริมว่า "นอกจากนี้ ผู้บริโภคภายในประเทศเองก็เริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น โอกาสที่จะมีการกำหนดเงื่อนไขการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมก็มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้"
ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างจุดขายและจุดแข็งที่ทำให้สินค้าของตนมีความน่าสนใจและแตกต่างจากคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นในเวทีภายในประเทศหรือเวทีระดับโลก ต้องสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนว่าสินค้าของตนมีความแตกต่างและมีคุณค่าอย่างไร ทั้งในแง่ของงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์และการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
"เราเชื่อว่าอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยยังคงมีศักยภาพและสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หากมีการปรับตัวและพัฒนาในทิศทางที่ถูกต้อง" นายอมรเทพกล่าวอย่างมั่นใจ
ผู้ประกอบการวอนภาครัฐช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทย
อย่างไรก็ดี นายอมรเทพยอมรับว่า ความกังวลของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยยังคงมีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตต่างชาติ ปัญหาด้านการขนส่งที่มีต้นทุนสูงและมีข้อจำกัดมากขึ้น รวมไปถึงต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้า
"เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เราอยากให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาสนับสนุนอย่างจริงจังมากขึ้น ทำอย่างไรก็ได้ที่จะทำให้มีลูกค้าสนใจสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไทยมากขึ้น อาจจะเป็นการสนับสนุนให้แบรนด์สินค้าไทยได้มีโอกาสไปแสดงศักยภาพในเวทีระดับโลก การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยได้ออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เพื่อให้ลูกค้าต่างชาติที่ไม่มีโอกาสเดินทางมาประเทศไทย ได้มีโอกาสเห็นและสัมผัสสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไทยมากขึ้น" นายอมรเทพเสนอแนะ
เขากล่าวทิ้งท้ายว่า "เราคาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยสามารถเติบโตและแข่งขันได้ในตลาดโลก และหวังว่าในปีนี้ มูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์ไทยจะสามารถเติบโตและทะลุหลักหมื่นล้านบาทได้ตามที่คาดการณ์ไว้"
บทสรุป: อนาคตเฟอร์นิเจอร์ไทยในตลาดโลก
ท่ามกลางความท้าทายที่รุมเร้าจากทุกทิศทาง ทั้งการแข่งขันจากผู้ผลิตต่างชาติที่มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนและราคา ปัญหาด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด
การมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าที่มีเอกลักษณ์ ตอบโจทย์เทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อม และการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านงานออกแบบที่มีความแตกต่าง ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนตลาดเป้าหมายจากตลาดดั้งเดิมอย่างยุโรปและอเมริกา มาเน้นตลาดในแถบเอเชียที่ยังมีกำลังซื้อสูงและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการไทยกำลังดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจากภาครัฐก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยก้าวไปข้างหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการส่งเสริมการออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาวัสดุและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดจนการสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการไทย
แม้จะเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับตัวของผู้ประกอบการไทย ประกอบกับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เชื่อได้ว่าอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยจะยังคงยืนหยัดและเติบโตได้ในตลาดโลก และมีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายมูลค่าตลาดหมื่นล้านบาทในปีนี้ตามที่คาดการณ์ไว้