ผลการศึกษาล่าสุดเปิดเผยข้อมูลสุดตระหนก "ข้าว" บนชั้นวางสินค้าในห้างสรรพสินค้าทั่วสหรัฐอเมริกาพบการปนเปื้อน "สารหนู-แคดเมียม" ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก เสี่ยงทำลายพัฒนาการสมองและกระตุ้นโรคเรื้อรังในระยะยาว นักวิจัยเตือนผู้ปกครองควรตระหนักและเลือกบริโภคอย่างระมัดระวัง
ข้าวบนจาน: อันตรายที่มองไม่เห็น
ข้าวที่อยู่บนจานอาหารของคุณอาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด จากรายงานฉบับใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดเผยให้กับสถานีข่าว CNN ระบุข้อมูลที่น่าตกใจว่า ตัวอย่าง "ข้าว" จากแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 100 ยี่ห้อที่วางจำหน่ายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา มีการตรวจพบปริมาณ "สารหนู" และ "แคดเมียม" ในระดับที่สูงถึงขั้นอันตราย สารพิษโลหะหนักเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากหลายงานวิจัยว่ามีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ภาวะพัฒนาการล่าช้าในเด็ก ผลกระทบเป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ และโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดคือเด็กเล็กซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการได้รับสารพิษเหล่านี้มากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า
เจน ฮูลิฮาน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจากองค์กร Healthy Babies, Bright Futures ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ทำงานมุ่งเน้นด้านการลดการสัมผัสสารพิษในกลุ่มเด็ก ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งในประเด็นนี้ โดยกล่าวว่า "การปนเปื้อนโลหะหนักในอาหารที่เด็กเล็กบริโภคเป็นประจำถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในระดับวิกฤต เนื่องจากการสะสมสารพิษเหล่านี้ในร่างกายของเด็กอาจนำไปสู่ปัญหาทางสติปัญญาและพัฒนาการ ซึ่งรวมถึงระดับ IQ ที่ลดลง รวมถึงความผิดปกติทางพฤติกรรมและความบกพร่องทางสติปัญญาที่อาจส่งผลต่อเนื่องไปจนตลอดชีวิต"
สารหนูในข้าว: เกินค่ามาตรฐานที่ FDA กำหนด
จากรายงานฉบับนี้ยังเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าตกใจว่า 1 ใน 4 ของตัวอย่างข้าวที่ถูกสุ่มซื้อมาจากร้านค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วสหรัฐอเมริกา มีระดับการปนเปื้อนของสารหนูอนินทรีย์ (inorganic arsenic) ในระดับที่สูงกว่าค่ามาตรฐานที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้กำหนดไว้เมื่อปี 2021 สำหรับ "ซีเรียลข้าวสำหรับเด็กทารก" ซึ่งค่ามาตรฐานดังกล่าวกำหนดไว้ที่ 100 ส่วนในพันล้าน (ppb)
ประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้ว่า FDA จะเคยออกมาตรการควบคุมและกำหนดค่ามาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ซีเรียลข้าวสำหรับเด็กทารกโดยเฉพาะ ซึ่งส่งผลให้ระดับสารหนูในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวลดลงถึง 45% แต่ทางหน่วยงานกลับไม่เคยออกมาตรการควบคุมระดับสารหนูในข้าวทั่วไปที่ครอบครัวซื้อไปหุงเพื่อรับประทานในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุ 0-2 ปี ซึ่งมักบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวันมากกว่าซีเรียลสำเร็จรูปสำหรับเด็กทารก
สารหนูในรูปแบบอนินทรีย์ (inorganic arsenic) ได้รับการยืนยันว่าเป็นหนึ่งในสารพิษที่อันตรายที่สุดที่พบได้ในธรรมชาติ สามารถพบได้ทั่วไปในดิน น้ำ และอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการทำเหมืองแร่หรือใช้ยาฆ่าแมลงในการเกษตรมาเป็นเวลานาน สารหนูชนิดนี้ได้รับการจัดอันดับโดยองค์กร American Academy of Pediatrics ให้เป็นสารก่อมะเร็งที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ที่การได้รับสารหนูในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแท้งลูก การคลอดก่อนกำหนด หรือปัญหาการพัฒนาทางสมองในทารกแรกเกิด
ใครรับผิดชอบ? ท่าทีของผู้ผลิตข้าวในสหรัฐฯ
USA Rice Federation ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนของผู้ผลิตข้าวในสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาแถลงยืนยันว่าข้าวที่ปลูกในประเทศสหรัฐอเมริกามีระดับสารหนูอนินทรีย์ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับข้าวที่ปลูกในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และได้ระบุว่าข้าวเป็นเพียง 17% ของแหล่งที่มาของสารหนูในอาหารที่คนอเมริกันบริโภค เมื่อเทียบกับผักและผลไม้ที่เมื่อรวมกันแล้วมีสัดส่วนถึง 42% ของสารหนูในอาหารทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสารพิษในอาหารหลายรายได้ชี้แจงว่า การเปรียบเทียบดังกล่าวเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ยุติธรรมและอาจทำให้เข้าใจผิดได้ เนื่องจากผลไม้และผักมีหลากหลายชนิดรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ในขณะที่ข้าวเพียงอย่างเดียวกลับเป็นแหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดของสารหนูในอาหารที่คนทั่วไปบริโภค
ความเสี่ยงแตกต่างตามเชื้อชาติและวัฒนธรรม
จากข้อมูลในรายงานฉบับเดียวกันพบว่า สำหรับเด็กเล็กอายุระหว่าง 0-2 ปี โดยเฉลี่ยแล้วข้าวคิดเป็นสัดส่วน 7.5% ของการได้รับสารหนูจากอาหารทั้งหมด แต่เมื่อแยกตามกลุ่มประชากร พบว่าในกลุ่มเด็กที่มีเชื้อสายฮิสแปนิก ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 14% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยเกือบเท่าตัว
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ในกลุ่มเด็กที่มีเชื้อสายเอเชีย พบว่าข้าวคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 30.5% ของแหล่งสารหนูในอาหารทั้งหมด และมีบางกรณีที่สูงถึง 55% สำหรับเด็กในกลุ่มอายุ 18-24 เดือนที่อยู่ในครอบครัวเชื้อสายเอเชีย ซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักในทุกมื้อ
องค์กรชุมชนที่ทำงานกับกลุ่มประชากรเชื้อสายละตินและเอเชียที่ร่วมในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้เปิดเผยว่า หลายครอบครัวในชุมชนยังไม่ตระหนักถึงอันตรายจากสารหนูในข้าวที่พวกเขาบริโภคเป็นประจำ แม้แต่พนักงานในองค์กรเองก็ยังไม่รู้ถึงความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการสื่อสารให้ชัดเจนว่าสารหนูอาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของทารกและเด็กเล็กได้อย่างไร และควรแนะนำทางเลือกธัญพืชอื่นๆ ที่ปลอดภัยกว่าสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก
การศึกษาเปรียบเทียบข้าวจากทั่วโลก
รายงานฉบับนี้ได้ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างข้าวจำนวน 145 ตัวอย่างจาก 4 ประเทศผู้ผลิตข้าวหลักของโลก ได้แก่ อินเดีย อิตาลี ไทย และสหรัฐอเมริกา ผลการศึกษาพบว่า ข้าวมีระดับการปนเปื้อนสารหนูสูงกว่าธัญพืชประเภทอื่นๆ มากถึง 28 เท่า
แม้ว่าธัญพืชอื่นๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ และควินัว จะมีการปนเปื้อนแคดเมียมมากกว่าข้าวประมาณ 1.5 เท่า แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว ธัญพืชเหล่านี้มีปริมาณโลหะหนักรวมทั้งหมดต่ำกว่าข้าวถึง 3 เท่า ซึ่งหมายความว่าการเลือกบริโภคธัญพืชอื่นทดแทนข้าวอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการได้รับสารโลหะหนักโดยรวมได้
ข้าวกล้องที่ดีต่อสุขภาพ แต่มีโลหะหนักสูงกว่า
ข้อค้นพบที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ ข้าวกล้องและข้าวป่า (wild rice) โดยเฉพาะที่ปลูกในสหรัฐอเมริกา มีการปนเปื้อนโลหะหนักในระดับที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่นๆ สาเหตุสำคัญมาจากเปลือกข้าวหรือรำข้าวที่ไม่ถูกขัดสีออกในข้าวกล้องเป็นบริเวณที่มีการสะสมของสารพิษมากที่สุด
จากการทดสอบตัวอย่างข้าวกล้องที่ปลูกในสหรัฐอเมริกาพบว่ามีการปนเปื้อนของสารหนูสูงถึง 129 ส่วนในพันล้าน (ppb) จากปริมาณโลหะหนักรวมทั้งหมด 151 ppb ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่ FDA กำหนดสำหรับอาหารทารก นอกจากนี้ ข้าว Arborio จากประเทศอิตาลีซึ่งนิยมนำมาทำริซอตโต้ และข้าวขาวที่ปลูกในพื้นที่ตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาก็ติดอันดับต้นๆ ในรายการข้าวที่มีการปนเปื้อนโลหะหนักในระดับสูงเช่นกัน
ในทางตรงกันข้าม ข้าวบาสมาติจากประเทศอินเดีย ข้าวหอมมะลิจากประเทศไทย และข้าวซูชิหรือข้าวคาลโรสที่ปลูกในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา กลับมีระดับการปนเปื้อนสารหนูต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 100 ppb ที่ FDA กำหนดไว้ ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก
ข้าวสำเร็จรูป: ความเสี่ยงซ้อนความเสี่ยง
อีกหนึ่งข้อแนะนำสำคัญจากรายงานฉบับนี้คือ ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงการบริโภคข้าวสำเร็จรูปประเภทต่างๆ เช่น ข้าวอบแห้ง ข้าวกึ่งสำเร็จรูป และข้าวพร้อมอุ่นที่บรรจุในแพ็กพลาสติก เนื่องจากกระบวนการผลิตข้าวสำเร็จรูปเหล่านี้อาจมีการใช้สารเคมีหรือกระบวนการที่สร้างสารพิษเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่มีอยู่แล้วในตัวข้าว
นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้สำหรับข้าวพร้อมอุ่น เมื่อถูกความร้อนจากการอุ่นในไมโครเวฟอาจปล่อยสารเคมีอันตรายประเภท phthalates และ bisphenols ออกมาปนเปื้อนในข้าวได้ ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสารรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ (endocrine disruptors) ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนและการเจริญเติบโตของเด็ก
เลือกข้าวอย่างไรให้ปลอดภัย
สิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคควรทราบคือ แบรนด์หรือยี่ห้อของข้าวไม่ใช่ตัวชี้วัดหลักในการเลือกซื้อข้าวที่ปลอดภัย จากข้อมูลในรายงานระบุชัดเจนว่า แหล่งที่มาหรือประเทศต้นกำเนิดของข้าวและชนิดของข้าวมีผลต่อระดับการปนเปื้อนโลหะหนักมากกว่าแบรนด์สินค้า
ปัญหาสำคัญที่พบคือ ผลิตภัณฑ์ข้าวหลายแบรนด์ในท้องตลาดไม่ได้ระบุข้อมูลประเทศต้นทางไว้อย่างชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจเลือกซื้อ นักวิจัยและองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคจึงเรียกร้องให้ภาครัฐและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยการบังคับให้มีการระบุแหล่งที่มาของข้าวและระดับการปนเปื้อนโลหะหนักบนฉลากผลิตภัณฑ์
วิธีลดความเสี่ยง: หุงข้าวแบบพาสต้า
ในด้านแนวทางปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและความปลอดภัยอาหารแนะนำให้ "หุงข้าวแบบพาสต้า" ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยลดปริมาณสารหนูในข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้น้ำในปริมาณมากถึง 6-10 ถ้วยต่อข้าว 1 ถ้วย (อัตราส่วน 6:1 ถึง 10:1) แล้วเทน้ำทิ้งหลังจากหุงข้าวเสร็จ วิธีนี้จะช่วยลดการปนเปื้อนของสารหนูได้มากถึง 60%
การแช่ข้าวล่วงหน้าในน้ำสะอาดเป็นเวลา 4-8 ชั่วโมงก่อนนำไปหุงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดสารพิษที่ปนเปื้อนในข้าวได้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อสังเกตว่าการหุงข้าวด้วยวิธีนี้อาจส่งผลให้ธาตุเหล็กที่มีการเติมลงไปในข้าวเพื่อเสริมคุณค่าทางโภชนาการลดลงด้วย ซึ่งธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุที่สำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการของเด็กทารก ดังนั้น ผู้ปกครองควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อพิจารณาว่าจำเป็นต้องเสริมธาตุเหล็กจากแหล่งอาหารอื่นๆ เพิ่มเติมหรือไม่ เช่น ถั่วชนิดต่างๆ ไข่ ผักใบเขียว หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
อาหารเสริมภูมิคุ้มกันจากสารพิษ
ขณะเดียวกัน การศึกษาล่าสุดพบว่ามีวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดที่สามารถช่วยลดการดูดซึมโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายหรือช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกายได้ เช่น วิตามิน B กลุ่มต่างๆ แคลเซียม สังกะสี และวิตามิน C ซึ่งพบได้ในอาหารที่หลากหลาย
ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้มีการบริโภคอาหารที่หลากหลายและครบถ้วนตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยต้านทานสารพิษ เช่น ผักใบเขียวเข้ม ผลไม้สด ถั่วและธัญพืชที่หลากหลาย รวมถึงโปรตีนคุณภาพดีจากแหล่งต่างๆ
บทสรุป: ความรู้คือเกราะป้องกัน
แม้ว่า "ข้าว" จะยังคงเป็นอาหารหลักที่สำคัญและอยู่ในมื้ออาหารของผู้คนทั่วโลก แต่การรู้เท่าทันถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและเลือกบริโภคอย่างชาญฉลาดและระมัดระวัง ก็อาจเป็นทางออกสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการได้รับสารพิษในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มเด็กเล็กที่อยู่ในวัยกำลังเติบโตและพัฒนา
นักวิจัยและนักวิชาการด้านความปลอดภัยอาหารเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ FDA พิจารณากำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับการปนเปื้อนโลหะหนักในข้าวทุกประเภท ไม่เฉพาะเพียงซีเรียลข้าวสำหรับทารกเท่านั้น รวมถึงเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการนำเข้าผลิตภัณฑ์ข้าวจากต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตข้าวและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารก็ควรดำเนินการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของตนเองอย่างสม่ำเสมอ และพัฒนากระบวนการผลิตที่ช่วยลดการปนเปื้อนสารพิษในผลิตภัณฑ์ข้าว รวมถึงให้ข้อมูลที่โปร่งใสกับผู้บริโภคเกี่ยวกับแหล่งที่มาและระดับการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์
สำหรับผู้บริโภคทั่วไป การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงและทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าอาจเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในการปกป้องสุขภาพของตนเองและครอบครัว โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลข่าวสารด้านความปลอดภัยอาหารมีความซับซ้อนและอาจสร้างความสับสนได้ง่าย