Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

Notifications
Clear all

เปิดความจริง! "เดินเร็ว" หรือ "วิ่ง" อะไรทำให้ผอมเร็วกว่า? หมอชี้ 5 ข้อสำคัญที่คนลดน้ำหนักต้องรู้

1 Posts
1 Users
0 Reactions
44 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 5484
Illustrious Member
Topic starter
 

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเผยข้อมูลสำคัญ ช่วยคนอยากผอมเลือกวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุด

ปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วนกลายเป็นวิกฤตสุขภาพที่สำคัญของคนไทยในปัจจุบัน ทำให้หลายคนหันมาใส่ใจการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักมากขึ้น แต่คำถามที่พบบ่อยที่สุดคือ "เดินเร็ว" กับ "วิ่ง" อะไรจะช่วยให้ผอมได้เร็วกว่ากัน?

วันที่ 6 มิถุนายน นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ออกมาให้ข้อมูลสำคัญผ่านเพจ "หมอเจด" ที่มีผู้ติดตามกว่าแสนคน โดยเปิดเผยข้อเท็จจริงที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับการเลือกวิธีออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก

"เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยมาก โดยเฉพาะจากคนที่เพิ่งเริ่มต้นอยากลดน้ำหนัก หลายคนกังวลเรื่องเข่าเสื่อม บางคนกลัวเหนื่อยเกินไป และที่สำคัญคือ บางคนเดินมานานแล้วแต่น้ำหนักไม่ลด วันนี้ผมจะมาอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด" นายแพทย์เจษฎ์กล่าว

1. การเผาผลาญพลังงาน: ตัวเลขที่ต้องรู้

เมื่อพูดถึงการลดน้ำหนัก สิ่งแรกที่ทุกคนสนใจคือ "เผาผลาญแคลอรีได้เท่าไหร่" นายแพทย์เจษฎ์อธิบายว่า หากดูจากตัวเลขการเผาผลาญพลังงานโดยตรง การวิ่งจะเผาผลาญได้มากกว่าการเดินเร็วอย่างชัดเจน

ข้อมูลการเผาผลาญพลังงาน:

  • การวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 600 แคลอรีต่อชั่วโมง
  • การเดินเร็วด้วยความเร็ว 5-6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เผาผลาญได้ประมาณ 300-400 แคลอรีต่อชั่วโมง

"ถ้าดูแค่ตัวเลขอาจจะคิดว่าวิ่งดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่เรื่องการลดน้ำหนักไม่ได้ง่ายขนาดนั้น" นายแพทย์เจษฎ์ย้ำ

ปัจจัยสำคัญที่หลายคนมองข้าม คือร่างกายของเราไม่ได้ใช้พลังงานจากแหล่งเดียวกันตลอดเวลา การเลือกใช้พลังงานจากไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตขึ้นอยู่กับความหนักของการออกกำลังกาย ซึ่งวัดจากอัตราการเต้นของหัวใจ

Heart Rate Zone: กุญแจสำคัญของการลดไขมัน

นายแพทย์เจษฎ์อธิบายว่า Heart Rate Zone หรือโซนอัตราการเต้นของหัวใจ เป็นตัวกำหนดสำคัญว่าร่างกายจะใช้พลังงานจากแหล่งไหน ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 โซน แต่สำหรับคนทั่วไปให้จำแค่ 3 โซนหลักๆ

โซน 2 (60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด):

  • ร่างกายใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลัก
  • เหมาะกับการเดินเร็วหรือวิ่งเบาๆ
  • ลดไขมันได้ช้าแต่แน่นอน
  • สามารถทำได้นานโดยไม่เหนื่อยมาก

โซน 3-4 (70-90% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด):

  • ใช้ทั้งไขมันและคาร์โบไฮเดรต
  • เหมาะกับการวิ่งแบบจริงจัง
  • เผาผลาญได้เร็วแต่เหนื่อยมาก

โซน 5 (90-100% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด):

  • ใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก
  • เหมาะกับการวิ่งระยะสั้นแบบเร็วมาก (Sprint) หรือ HIIT
  • เผาผลาญได้มากแต่ทำได้ไม่นาน

"สิ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าคุณเดินเร็วแต่รักษาให้อยู่ในโซน 2 ได้ต่อเนื่อง 40-60 นาที คุณจะเผาผลาญไขมันได้ดีมาก อาจจะไม่เร็วเท่าวิ่ง แต่ปลอดภัยและยั่งยืนกว่า" นายแพทย์เจษฎ์กล่าว

2. ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

การออกกำลังกายทั้งสองแบบต่างก็มีประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่มีความแตกต่างในรายละเอียดที่สำคัญ

ประโยชน์ของการวิ่ง:

  • กระตุ้นการทำงานของหัวใจได้เข้มข้น
  • เพิ่มความแข็งแรงของหัวใจได้เร็ว
  • ปรับปรุงความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุด (VO2 Max)
  • เหมาะกับคนที่มีสุขภาพดีและต้องการท้าทายตัวเอง

ประโยชน์ของการเดินเร็ว:

  • ลดความดันโลหิตได้ดี
  • ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • เหมาะกับทุกวัยและทุกระดับสุขภาพ

นายแพทย์เจษฎ์เน้นย้ำว่า "สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน มีปัญหาเข่า หรืออายุมาก การเดินเร็วจะปลอดภัยกว่ามาก แนะนำให้เริ่มจากเดินเร็วก่อน เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้นค่อยเพิ่มเป็นวิ่งเบาๆ"

3. เมตาบอลิซึมและ Afterburn Effect

หนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญของการวิ่งคือ "Afterburn Effect" หรือ EPOC (Excess Post-exercise Oxygen Consumption) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายยังคงเผาผลาญพลังงานต่อไปอีกหลายชั่วโมงหลังออกกำลังกายเสร็จ

Afterburn Effect คืออะไร?

  • เกิดขึ้นเมื่อออกกำลังกายหนักพอ
  • ร่างกายต้องใช้พลังงานเพิ่มเพื่อฟื้นฟูและปรับสมดุล
  • สามารถเผาผลาญเพิ่มได้อีก 50-200 แคลอรี
  • ยิ่งออกกำลังกายหนักมาก ยิ่งได้ Afterburn มาก

"การวิ่งเร็วหรือวิ่งแบบ HIIT จะได้ Afterburn Effect มากที่สุด แต่การเดินเร็วแทบจะไม่มีผลนี้เลย" นายแพทย์เจษฎ์อธิบาย

แต่อย่าเพิ่งผิดหวัง! การเดินเร็วมีข้อดีอื่นที่ชดเชยได้:

  • ทำได้นานกว่าโดยไม่เหนื่อยมาก
  • ทำได้ทุกวันโดยไม่ต้องพักฟื้น
  • ไม่เสี่ยงบาดเจ็บ
  • ยั่งยืนในระยะยาว

ตัวอย่างเปรียบเทียบ:

  • วิ่ง 30 นาที: เผาผลาญ 400 แคลอรี + Afterburn 100 แคลอรี = รวม 500 แคลอรี
  • เดินเร็ว 60 นาที: เผาผลาญ 400 แคลอรี + Afterburn น้อยมาก = รวม 400-420 แคลอรี

"ถ้าดูผลรวมแล้ว ความแตกต่างไม่ได้มากมายอย่างที่คิด โดยเฉพาะถ้าคุณเดินได้บ่อยกว่า" นายแพทย์เจษฎ์สรุป

4. ผลกระทบต่อกระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ

ประเด็นนี้สำคัญมากสำหรับการเลือกวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออายุมาก

ผลกระทบจากการวิ่ง:

ด้านบวก:

  • กระตุ้นการสร้างมวลกระดูก
  • เสริมสร้างความแข็งแรงของเอ็นและข้อต่อ
  • พัฒนากล้ามเนื้อขาและสะโพก
  • เพิ่มความแข็งแรงของ Core

ด้านลบ:

  • แรงกระแทกสูง (2-3 เท่าของน้ำหนักตัว)
  • เสี่ยงบาดเจ็บเข่า ข้อเท้า หน้าแข้ง
  • ต้องการเทคนิคการวิ่งที่ถูกต้อง
  • ต้องมีรองเท้าที่เหมาะสม

ผลกระทบจากการเดินเร็ว:

ด้านบวก:

  • แรงกระแทกต่ำ (1.2-1.5 เท่าของน้ำหนักตัว)
  • ปลอดภัยสำหรับข้อต่อ
  • ไม่ต้องการเทคนิคมาก
  • ใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนถ้าแกว่งแขน

ด้านลบ:

  • กระตุ้นการสร้างมวลกระดูกน้อยกว่า
  • พัฒนากล้ามเนื้อช้ากว่า

"สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 80 กิโลกรัมขึ้นไป หรือมีปัญหาเข่าอยู่แล้ว ผมแนะนำให้เริ่มจากเดินเร็วเป็นหลัก อย่าเสี่ยงกับการบาดเจ็บ เพราะถ้าเจ็บแล้วต้องหยุดออกกำลังกาย น้ำหนักจะกลับมาเพิ่มอีก" นายแพทย์เจษฎ์แนะนำ

5. ความยั่งยืน: ปัจจัยสำคัญที่สุดของการลดน้ำหนัก

นายแพทย์เจษฎ์เน้นย้ำว่า ไม่ว่าวิธีไหนจะดีแค่ไหน ถ้าทำไม่ได้ต่อเนื่องก็ไม่มีประโยชน์ และนี่คือจุดที่หลายคนพลาด

ปัญหาที่พบบ่อยของการวิ่ง:

  • ตั้งเป้าสูงเกินไป วิ่งหนักเกินไปตั้งแต่แรก
  • เหนื่อยมากจนไม่อยากทำต่อ
  • บาดเจ็บบ่อยต้องหยุดพัก
  • ต้องการเวลาฟื้นตัวนาน
  • ทำได้แค่ 2-3 วันต่อสัปดาห์

ข้อดีของการเดินเร็วในแง่ความยั่งยืน:

  • ทำได้ทุกวันโดยไม่เหนื่อยมาก
  • ไม่ต้องการอุปกรณ์พิเศษ
  • ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา
  • เสี่ยงบาดเจ็บน้อย
  • เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

ตัวอย่างการคำนวณผลระยะยาว:

  • วิ่ง 2 วันต่อสัปดาห์ × 600 แคลอรี = 1,200 แคลอรีต่อสัปดาห์
  • เดินเร็ว 6 วันต่อสัปดาห์ × 350 แคลอรี = 2,100 แคลอรีต่อสัปดาห์

"เห็นไหมครับว่า แม้เดินเผาผลาญน้อยกว่าต่อครั้ง แต่ถ้าทำได้บ่อยกว่า ผลรวมกลับมากกว่า และที่สำคัญคือทำได้ยาวนานกว่า" นายแพทย์เจษฎ์อธิบาย

คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น

นายแพทย์เจษฎ์ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักดังนี้:

สำหรับผู้ที่เลือกเดินเร็ว:

  1. เริ่มจาก 20-30 นาทีต่อวัน
  2. เดินให้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย พูดได้แต่ร้องเพลงไม่ได้
  3. ค่อยๆ เพิ่มเวลาและความเร็ว
  4. ตั้งเป้าหมายที่ 10,000 ก้าวต่อวัน
  5. ใช้แอพนับก้าวช่วยกระตุ้น

สำหรับผู้ที่เลือกวิ่ง:

  1. เริ่มจากเดินสลับวิ่ง (Walk-Run)
  2. วิ่ง 1 นาที เดิน 2 นาที สลับกัน
  3. ค่อยๆ เพิ่มเวลาวิ่ง ลดเวลาเดิน
  4. ใส่รองเท้าวิ่งที่เหมาะสม
  5. วอร์มอัพและคูลดาวน์ทุกครั้ง

การผสมผสานเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

นายแพทย์เจษฎ์แนะนำว่า การผสมผสานทั้งสองวิธีอาจให้ผลดีที่สุด:

ตัวอย่างตารางออกกำลังกาย:

  • จันทร์, พุธ, ศุกร์: เดินเร็ว 45-60 นาที
  • อังคาร, พฤหัส: วิ่งเบาๆ 20-30 นาที
  • เสาร์: เดินเร็วนาน 60-90 นาที
  • อาทิตย์: พักผ่อน

"วิธีนี้จะได้ประโยชน์จากทั้งสองแบบ ได้ Afterburn จากวันที่วิ่ง และได้การเผาผลาญไขมันจากวันที่เดิน พร้อมลดความเสี่ยงบาดเจ็บ" นายแพทย์เจษฎ์กล่าว

ปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึง

การลดน้ำหนักไม่ได้ขึ้นอยู่กับการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว นายแพทย์เจษฎ์เตือนว่ายังมีปัจจัยอื่นที่สำคัญ:

1. การควบคุมอาหาร:

  • ลดแคลอรีที่กินเข้าไป 500-750 แคลอรีต่อวัน
  • เน้นโปรตีนเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ
  • ลดน้ำตาลและไขมันอิ่มตัว
  • กินผักและผลไม้มากขึ้น

2. การพักผ่อน:

  • นอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
  • การนอนไม่พอทำให้ฮอร์โมนหิวเพิ่ม
  • ร่างกายฟื้นฟูและสร้างกล้ามเนื้อขณะนอน

3. การจัดการความเครียด:

  • ความเครียดทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลสูง
  • ส่งผลให้สะสมไขมันหน้าท้อง
  • ออกกำลังกายช่วยลดความเครียดได้

4. ความสม่ำเสมอ:

  • ทำทุกวันดีกว่าทำหนักแต่ห่าง
  • สร้างให้เป็นนิสัย ไม่ใช่ภาระ
  • อดทนรอผลระยะยาว

ข้อควรระวังและข้อห้าม

นายแพทย์เจษฎ์เตือนถึงข้อควรระวังสำคัญ:

กลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน:

  • ผู้ที่มีโรคหัวใจหรือความดันสูง
  • ผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าหรือข้อต่อ
  • ผู้ที่เป็นเบาหวาน
  • ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี
  • ผู้ที่มี BMI เกิน 35

สัญญาณอันตรายที่ต้องหยุดออกกำลังกายทันที:

  • เจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม
  • วิงเวียนหรือเป็นลม
  • ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ
  • คลื่นไส้หรืออาเจียน
  • ใจสั่นผิดปกติ

สรุป: คำตอบสุดท้าย

นายแพทย์เจษฎ์สรุปว่า ไม่มีคำตอบเดียวที่เหมาะกับทุกคน การเลือกระหว่างเดินเร็วกับวิ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง:

เลือกวิ่ง ถ้า:

  • มีสุขภาพแข็งแรงดี
  • ไม่มีปัญหาข้อต่อ
  • ชอบความท้าทาย
  • มีเวลาพักฟื้นเพียงพอ
  • ต้องการผลเร็ว

เลือกเดินเร็ว ถ้า:

  • มีน้ำหนักเกินมาก
  • มีปัญหาข้อเข่าหรือข้อต่อ
  • เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย
  • ต้องการความยั่งยืน
  • ไม่ชอบความเหนื่อยมาก

"สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าวิธีไหนดีกว่า แต่คือวิธีไหนที่คุณทำได้จริงและทำได้นาน การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือการที่คุณทำได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเดินหรือวิ่ง ขอแค่เริ่มทำวันนี้ อีก 3-6 เดือนคุณจะเห็นผลแน่นอน" นายแพทย์เจษฎ์กล่าวทิ้งท้าย

ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ

นอกจากคำแนะนำจากนายแพทย์เจษฎ์แล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายและโภชนาการหลายท่านให้ความเห็นเพิ่มเติม:

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมชาย จากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า "การเลือกประเภทของการออกกำลังกายควรพิจารณาจากเป้าหมายและข้อจำกัดของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน การสร้างนิสัยการเคลื่อนไหวที่ทำได้ทุกวันสำคัญกว่าการออกกำลังกายหนักแต่ทำได้นานๆ ครั้ง"

นักโภชนาการชื่อดัง อาจารย์พิมพ์ใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมน้ำหนัก เสริมว่า "ไม่ว่าจะเลือกเดินหรือวิ่ง ต้องไม่ลืมว่าการลดน้ำหนัก 70% มาจากการควบคุมอาหาร และ 30% มาจากการออกกำลังกาย ดังนั้นต้องทำควบคู่กันไป"

เทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีและอุปกรณ์มากมายที่ช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น:

1. Fitness Tracker และ Smart Watch:

  • ติดตามจำนวนก้าว ระยะทาง แคลอรี
  • วัดอัตราการเต้นหัวใจแบบเรียลไทม์
  • แจ้งเตือนให้ลุกเดิน
  • บันทึกประวัติการออกกำลังกาย

2. แอพพลิเคชั่นมือถือ:

  • แอพนับก้าวและติดตามการเดิน
  • แอพ Couch to 5K สำหรับผู้เริ่มวิ่ง
  • แอพคำนวณแคลอรี
  • แอพเพลงจังหวะสำหรับวิ่ง

3. อุปกรณ์เสริม:

  • รองเท้าที่เหมาะกับการเดิน/วิ่ง
  • เสื้อผ้าระบายอากาศดี
  • ขวดน้ำพกพา
  • หูฟังไร้สายกันน้ำ

แนวโน้มการออกกำลังกายในอนาคต

จากการสำรวจพฤติกรรมการออกกำลังกายของคนไทยในปี 2567 พบว่า:

  • 45% เลือกเดินเร็วเป็นการออกกำลังกายหลัก
  • 25% เลือกวิ่งเป็นการออกกำลังกายหลัก
  • 30% ผสมผสานหลายวิธี

แนวโน้มที่น่าสนใจคือ การเดินเร็วกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มคนทำงาน เนื่องจากทำได้ง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มาก และสามารถทำระหว่างพักกลางวันหรือหลังเลิกงานได้

บทสรุปและข้อคิด

การเลือกระหว่างเดินเร็วกับวิ่งเพื่อลดน้ำหนักไม่มีคำตอบตายตัว ทั้งสองวิธีต่างมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือต้องเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด

หากคุณเป็นคนที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย มีน้ำหนักเกิน หรือมีข้อจำกัดทางร่างกาย การเดินเร็วอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะปลอดภัย ทำได้ง่าย และยั่งยืน

แต่หากคุณมีพื้นฐานสุขภาพดี ชอบความท้าทาย และต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว การวิ่งก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน

ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการควบคุมอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ และอดทนรอผลลัพธ์ เพราะการลดน้ำหนักที่ยั่งยืนต้องใช้เวลา แต่เมื่อสำเร็จแล้ว คุณจะได้ทั้งสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่ต้องการอย่างแท้จริง

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่เพจ "หมอเจด" หรือปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายเพื่อคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

This topic was modified 1 month ago by al-raddadi.com
 
Posted : 07/06/2025 9:43 am
Share: