Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

แฉเล่ห์เขมร! รุกคืบ...
 
Notifications
Clear all

แฉเล่ห์เขมร! รุกคืบจ้องยึดช่องบกของแผ่นดินไทย อ้างอยู่มาก่อน MOU2543

1 Posts
1 Users
0 Reactions
26 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 5484
Illustrious Member
Topic starter
 

วาสนา นาน่วม เปิดเบื้องหลังวงเจรจา แฉเล่ห์เขมรรุกคืบ แผนจ้องยึดช่องบกของแผ่นดินไทย อ้างทหารกัมพูชาอยู่มาก่อนมี MOU2543 ยันไทยมีหลักฐานชัด

เหตุการณ์ปะทะช่องบก จุดเริ่มต้นของวิกฤตชายแดน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05:45 น. ที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา เมื่อเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารของทั้งสองประเทศ ส่งผลให้มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากฝั่งกัมพูชา

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญหรือการเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่กัมพูชาได้วางเอาไว้อย่างรอบคอบ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างข้ออ้างในการยึดครองพื้นที่ส่วนหนึ่งของดินแดนไทยในบริเวณช่องบก

หลังจากเหตุการณ์ปะทะ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้ผู้บัญชาการทหารบกของไทยและกัมพูชานัดหมายเจรจาหารือร่วมกันในวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เพื่อหาทางออกจากวิกฤตครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ผลของการเจรจาได้เผยให้เห็นถึงแผนการที่ซับซ้อนและอันตรายของฝั่งกัมพูชา

วาสนา นาน่วม เปิดเบื้องหลังการเจรจา

นางสาววาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหารที่มีผู้ติดตามใน YouTube ช่อง "Wassana Nanuam" มากถึง 4.9 แสนคน ได้เปิดเผยเบื้องหลังการเจรจาครั้งสำคัญนี้ในคลิปวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ภายใต้หัวข้อ "เล่ห์เขมร! ผบ.ทบ.เขมรกร้าวกลางวงเจรจา! ไม่ยอมถอย ยึดแดนไทยช่องบก แถลงการณ์ยึดแดน ซัด!ไทยผู้รุกราน"

การเปิดเผยของนางสาววาสนาได้ทำให้สาธารณชนเข้าใจถึงความซับซ้อนและอันตรายของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าที่ข่าวทั่วไปได้นำเสนอ โดยเฉพาะการที่กัมพูชาได้ใช้โอกาสในการเจรจาเพื่อประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนไทย

90 นาทีแห่งการเจรจาที่ไม่ราบรื่น

การเจรจาระหว่างผู้บัญชาการทหารบกไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ใช้เวลาประมาณ 90 นาที แต่ไม่ได้จบลงด้วยความสำเร็จหรือความราบรื่นอย่างที่หลายฝ่ายต้องการให้เป็น ตรงกันข้าม การเจรจาครั้งนี้กลับเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น และอาจนำไปสู่ความเสียเปรียบของฝ่ายไทยในระยะยาว

หลังการประชุมเสร็จสิ้น มีรายงานข่าวออกมาจากที่ประชุมว่าสามารถตกลงกันได้ใน 3 ข้อหลัก ได้แก่:

ข้อที่ 1: การถอยกำลัง - ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ถอยกำลังออกจากจุดที่เป็นความขัดแย้ง

ข้อที่ 2: การรอการเจรจาระดับสูง - ให้รอการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค (RBC) และคณะกรรมการปักปันเขตแดน (JBC) ที่กำลังจะประชุมกันในอีกประมาณ 2 สัปดาห์ หรือประมาณกลางเดือนมิถุนายนนี้

ข้อที่ 3: การอยู่ร่วมกันอย่างระมัดระวัง - ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันในพื้นที่ด้วยความระมัดระวัง และอดทนไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระทั่ง โดยให้ผู้บังคับบัญชาดูแลอย่างใกล้ชิด

ความแตกต่างระหว่างแถลงการณ์ไทยและกัมพูชา

แม้ว่าจะมีการรายงานว่าการเจรจาจบลงด้วยความสำเร็จ แต่ความจริงแล้วมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างแถลงการณ์ของฝ่ายไทยและกัมพูชา

แถลงการณ์ฝ่ายไทย นำเสนอในลักษณะที่ทำให้ดูว่าการเจรจาสำเร็จเรียบร้อย ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี และไม่พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น หรือสิ่งที่ตกลงกันไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอมถอนกำลังออกจากพื้นที่ปะทะล่าสุดที่เรียกว่าช่องบก

แถลงการณ์ฝ่ายกัมพูชา กลับมีการระบุชัดเจนและเป็นข้อๆ โดยออกแถลงการณ์ที่ผูกมัดว่าเป็นข้อตกลงผลจากการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารบกสองชาติ โดยสรุปออกมาเป็น 4 ข้อ ซึ่ง 3 ข้อแรกไม่แตกต่างจากฝ่ายทหารไทย

ข้อ 4 ที่เป็นกับดักสำคัญ

สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญและอันตรายที่สุดคือ ข้อที่ 4 ในแถลงการณ์ของกัมพูชา ที่ระบุชัดเจนว่า "กัมพูชาจะไม่ถอยและยืนหยัดโดยปราศจากอาวุธในจุดที่เกิดความขัดแย้ง เพราะพื้นที่ตรงนี้ทหารกัมพูชาอยู่มาก่อนที่จะมีข้อตกลง MOU2543"

การระบุข้อนี้ถือเป็นการประกาศดินแดนอธิปไตยของกัมพูชาบนโต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการ และที่ร้ายแรงที่สุดคือการที่แถลงการณ์ระบุว่า "ทั้ง 4 ข้อนี้ได้รับการตกลงจากผู้บัญชาการทหารบกไทยและกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว"

นี่หมายความว่ากัมพูชาได้ใช้โอกาสในการเจรจาเพื่อให้ฝ่ายไทยรับทราบและยอมรับการประกาศอธิปไตยของกัมพูชาเหนือดินแดนไทยแล้ว โดยไม่มีการคัดค้านหรือแย้งจากฝ่ายไทยในที่ประชุม

พื้นที่ที่ถูกรุกรานคือดินแดนไทยแท้

สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือพื้นที่ที่กัมพูชาเข้ามายึดถึงแนวต้นพญาสัตบรรณ หรือต้นตีนเป็ด บริเวณนี้ไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนแต่อย่างใด แต่เป็นเขตแดนประเทศไทยโดยแท้

ทั้งนี้ กรมสนธิสัญญาได้ส่งข้อความถึงกองทัพยืนยันว่า "จากพิกัดต้นพญาสัตบรรณและแนวที่ปะทะกันนั้นเป็นดินแดนของประเทศไทย" และเตือนให้ฝ่ายกองทัพระวังอย่าให้ข่าวหรือให้การอย่างผิดพลาดว่าบริเวณนั้นเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน เพราะบริเวณนั้นเป็นของประเทศไทยตามแผนที่อย่างชัดเจน

รายละเอียดการเจรจา: 11 ประเด็นจากไทย vs 14 ประเด็นจากกัมพูชา

ในการเจรจาครั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบกไทยเป็นฝ่ายพูดก่อน โดยสรุปออกมาได้ทั้งหมด 11 ประเด็น ซึ่งในจำนวนนี้ได้เสนอให้ทั้งสองฝั่งถอยออกจากแนวต้นพญาสัตบรรณฝ่ายละ 200 เมตร ให้ลาดตระเวนร่วมกันโดยปราศจากอาวุธ และรอการเจรจาในระดับ RBC และ JBC

เมื่อฝ่ายไทยพูดจบ ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชาตอบเป็นข้อๆ ทั้งหมด 14 ประเด็น แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือการยืนยันว่า "ทหารกัมพูชาจะไม่สามารถถอยออกจากแนวต้นพญาสัตบรรณได้ เพราะเป็นพื้นที่กัมพูชาอยู่มาก่อนมีข้อตกลง MOU2543"

ความผิดพลาดในการเจรจา: ไม่มีการแย้งจากฝ่ายไทย

สิ่งที่น่าเสียดายและอาจกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญในอนาคตคือ การที่ในที่ประชุมไม่ได้มีการแย้งหรือท้วงติงในเรื่องที่กัมพูชาอ้างว่าแนวต้นพญาสัตบรรณเป็นพื้นที่ของกัมพูชา แม้ว่าฝ่ายไทยจะเตรียมข้อมูลและเอกสารหลักฐานมาแล้วก็ตาม

อาจเป็นเพราะการพูดคุยมีหลายประเด็น และฝ่ายไทยเน้นที่จะพูดในเชิงบวก พูดถึงความต้องการของระดับผู้บังคับบัญชา จึงไม่ได้ใช้โอกาสในการยืนยันความเป็นจริงว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนไทยอย่างชัดเจน

แผนการของกัมพูชา: การรออยู่มานาน

จากการวิเคราะห์ของนางสาววาสนา พบว่าครั้งนี้ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายขอเจรจาก่อน ราวกับว่ารอวันนี้มานาน หลังจากที่ได้มีการยั่วยุ มีการรุกล้ำ และได้ปฏิบัติการหลายอย่างเพื่อต้องการให้เกิดวันนี้ และนำมาสู่โต๊ะเจรจา

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีแผนการที่ชัดเจนและได้เตรียมการมาอย่างดี โดยมีการสนับสนุนจากระดับผู้นำสูงสุด ทั้งสมเด็จฮุนเซน และฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ยืนยันให้ฝ่ายทหารกัมพูชาปกป้องมาตุภูมิและอธิปไตยดินแดนกัมพูชา

ภัยคุกคามจากกฎหมายระหว่างประเทศ

สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือการที่กัมพูชาระบุว่าต้องการให้มีการแก้ไขโดยการใช้กฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยเคยระมัดระวังว่าฝ่ายกัมพูชาเล็งที่จะเอาเรื่องสถานการณ์ชายแดนไปฟ้องชาวโลกหรือฟ้องศาลโลก

แม้ว่าไทยจะไม่ได้รับอำนาจศาลโลกแล้วตั้งแต่กรณีปราสาทเขาพระวิหาร แต่กัมพูชาก็สามารถที่จะฟ้องฝ่ายเดียวได้ หรือฟ้องทางองค์การสหประชาชาติที่ไทยเป็นสมาชิก หรืออาจมีช่องทางอื่น

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยต้องระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะตอนนี้เราได้ก้าวไปในแผนของเขาแล้วหนึ่งก้าว โดยการที่ไม่ได้แย้งการอ้างอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาในที่ประชุม

ภาพลวงที่ซ่อนความจริง

ภาพที่ออกมาหลังการเจรจามีการจับมือยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ความจริงแล้วฝ่ายกัมพูชาได้เตรียมอะไรไว้มากกว่าที่เห็น แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชาได้วางธงอะไรเอาไว้ นั่นคือการประกาศว่าตรงนั้นคือดินแดนของกัมพูชา และอ้างด้วยว่าผู้บัญชาการทหารบกไทยก็รับทราบแล้ว

หลักฐานที่ไทยมีแต่ไม่ได้ใช้

ความน่าเสียดายคือแม้ว่าไทยจะมีหลักฐานชัดเจนว่าเขมรไม่ได้อยู่ตรงนี้มาก่อนปี 2543 แต่เพิ่งเข้ามาเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยค่อยๆ คืบคลานเข้ามาก่อนที่จะมีการเผาศาลาตรีมุขที่ช่องบก

ฝ่ายไทยมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายทางอากาศทั้งหมดที่แสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวของทหารกัมพูชา แต่กลับไม่ได้ใช้หลักฐานเหล่านี้ในการแย้งในที่ประชุมการเจรจาวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

ทหารไทยทางชายแดนรู้ดีว่าทหารกัมพูชาเพิ่งนำกำลังมาช่วงที่มีการวางแผนเผาศาลาตรีมุข และจากนั้นก็เคลื่อนกำลังเข้ามาจนในที่สุดก็มาถึงแนวต้นพญาสัตบรรณ ซึ่งจุดนี้เป็นเขตแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจน

การยิงข่มขวัญก่อนการเจรจา

เหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกัมพูชาในการยึดครองพื้นที่เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ก่อนการเจรจาของผู้บัญชาการทหารบกทั้งสองชาติ

ช่วงเช้าทหารกัมพูชาได้ยิงปืนขึ้นประมาณ 20 นัดจากบริเวณแนวต้นพญาสัตบรรณพุ่งมาทางฝั่งประเทศไทย ซึ่งทหารไทยได้รับคำสั่งให้หยุดยิงและห้ามไม่ให้ยิงตอบโต้ จึงไม่ได้มีการยิงตอบโต้

การยิงครั้งนี้คาดว่าทางกัมพูชายิงเพื่อเช็คแนวว่าทหารไทยได้ถอยออกไปจากแนวที่กำหนดหรือยัง และเป็นการยืนยันการยึดครองพื้นที่ เมื่อทหารไทยถอยแต่ทหารกัมพูชาก็ขยับเข้ามาอีก นี่คือความยากของการเจรจาและเป็นสาเหตุที่กัมพูชาได้ประกาศบนโต๊ะเจรจาว่าทหารกัมพูชาถอยไม่ได้

การคืบคลานของกัมพูชา: จากศาลาตรีมุขสู่แนวต้นพญาสัตบรรณ

ย้อนกลับไปดูรูปแบบการดำเนินการของกัมพูชา จะเห็นได้ว่ามีการวางแผนอย่างรอบคอบ เริ่มต้นจากการเผาศาลาตรีมุขที่ช่องบก ซึ่งเป็นการสร้างข้ออ้างและความโกรธแค้น จากนั้นจึงค่อยๆ นำกำลังเข้ามาอย่างเป็นขั้นตอน

เมื่อไม่มีทหารไทยเฝ้าอยู่ กัมพูชาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเข้ามาเรื่อยๆ จนสามารถเข้าถึงแนวต้นพญาสัตบรรณ ซึ่งอยู่ในดินแดนไทยชัดเจน นี่คือยุทธวิธีการคืบคลานที่ใช้เวลาหลายเดือนในการเตรียมการ

ผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาชายแดนทั่วไป แต่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติอย่างร้ายแรง หากไทยไม่ดำเนินการอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่การสูญเสียดินแดนอย่างถาวร

การที่กัมพูชาสามารถประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนไทยบนโต๊ะเจรจาโดยไม่มีการคัดค้านจากฝ่ายไทย ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่อันตราย เพราะอาจถูกใช้เป็นหลักฐานในเวทีระหว่างประเทศในอนาคต

บทเรียนจากปราสาทเขาพระวิหาร

ประเทศไทยเคยประสบกับความสูญเสียในกรณีปราสาทเขาพระวิหารที่ต้องยกให้กัมพูชาโดยคำตัดสินของศาลโลก สถานการณ์ครั้งนี้มีรูปแบบที่คล้ายกัน คือการที่กัมพูชาใช้ยุทธวิธีทางการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศ

ความแตกต่างคือครั้งนี้กัมพูชาได้เรียนรู้และปรับปรุงยุทธวิธี โดยการสร้างข้อเท็จจริงบนพื้นดิน การใช้การเจรจาเพื่อให้ฝ่ายไทยยอมรับการประกาศอธิปไตย และการเตรียมพร้อมที่จะนำเรื่องไปสู่เวทีระหว่างประเทศ

ความจำเป็นในการดำเนินการเร่งด่วน

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินการในหลายด้านอย่างเร่งด่วน:

ด้านการทหาร: ต้องมีการปรับกลยุทธ์การป้องกันชายแดนให้เหมาะสมกับยุทธวิธีการคืบคลานของกัมพูชา โดยไม่ปล่อยให้มีช่องว่างในการป้องกัน

ด้านการทูต: ต้องเร่งดำเนินการทางการทูตเพื่อยืนยันอธิปไตยของไทยเหนือดินแดนช่องบก และเตรียมพร้อมรับมือกับความพยายามของกัมพูชาในการนำเรื่องไปสู่เวทีระหว่างประเทศ

ด้านกฎหมาย: ต้องเตรียมหลักฐานและข้อมูลทางกฎหมายที่สามารถยืนยันความเป็นเจ้าของดินแดนของไทยได้อย่างชัดเจน

ด้านการสื่อสาร: ต้องมีการสื่อสารกับสาธารณชนอย่างโปร่งใสเพื่อสร้างความเข้าใจและการสนับสนุนจากประชาชน

คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ

การเปิดเผยของนางสาววาสนา นาน่วม ถือเป็นการเตือนภัยที่สำคัญ เพราะแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์มีความซับซ้อนและอันตรายมากกว่าที่ปรากฏ การที่ไทยก้าวเข้าไปในแผนของกัมพูชาแล้วหนึ่งก้าว อาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ในอนาคต

ประเทศไทยต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดในการเจรจาครั้งนี้ และเตรียมพร้อมรับมือกับกลยุทธ์ของกัมพูชาที่อาจมีการพัฒนาต่อไป

บทสรุป: จุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

เหตุการณ์ที่ช่องบกและการเจรจาในวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา การที่กัมพูชาสามารถประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนไทยในที่ประชุมโดยไม่มีการคัดค้าน แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของแผนการที่กัมพูชาได้วางเอาไว้

ผลที่ตามมาจากเหตุการณ์นี้อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยในระยะยาว หากไม่มีการดำเนินการที่เหมาะสมและทันท่วงที อาจนำไปสู่การสูญเสียดินแดนอีกส่วนหนึ่งของประเทศ

การเปิดเผยของนางสาววาสนา นาน่วม ได้ทำให้สาธารณชนเข้าใจถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังการเจรจา และเป็นการเตือนภัยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์

ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียดินแดนเพิ่มเติม และเพื่อรักษาความมั่นคงและเอกราชของชาติไว้ให้คงอยู่ต่อไป

This topic was modified 2 months ago by supachai
 
Posted : 30/05/2025 10:29 am
Share: