ความเคลื่อนไหวล่าสุดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดข้อพิพาทที่อุบลราชธานี
สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชาที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ทั้งสองประเทศได้เปิดเผยผลการเจรจาทั้งหมด 4 ข้อตกลงที่มีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับการเจรจาผ่านกลไก JBC (Joint Boundary Commission) พร้อมทั้งการกำกับดูแลกำลังพลของแต่ละฝ่ายอย่างเคร่งครัด
ขณะเดียวกัน มีรายงานจากแหล่งข่าวต่างๆ ว่า ฝ่ายกัมพูชาเตรียมที่จะยื่นเรื่องข้อพิพาทดังกล่าวต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับของความขัดแย้งให้เข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ
ท่าทีของผู้นำกัมพูชาและการเตรียมความพร้อมทางทหาร
สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อแสดงการสนับสนุนรัฐบาลในการส่งทหารและอาวุธหนักเข้าสู่พื้นที่เพื่อเตรียมป้องกัน การออกมาแสดงจุดยืนของบุคคลที่มีอิทธิพลทางการเมืองระดับสูงของกัมพูชานี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังของปัญหาในครั้งนี้
การเตรียมความพร้อมของฝ่ายไทย
ในส่วนของประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตชายแดนไทย-กัมพูชา เตรียมกำลังสนับสนุนเพื่อร่วมปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างเต็มกำลัง
รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ยืนยันจุดยืนในกรณีข้อพิพาทกับกัมพูชา โดยยืนยันที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเต็มที่ แต่จะยึดหลักสันติวิธีเป็นสำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาแทนการใช้กำลัง
การเคลื่อนไหวของกองทัพไทย
แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ทำการตรวจสอบความพร้อมในการรบ เพื่อเสริมกำลังให้กับกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของกองทัพไทยในการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
การสำรวจกำลังรบโลกปี 2568 โดย Global Fire Power
ท่ามกลางความตึงเครียดดังกล่าว เว็บไซต์ Global Fire Power ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเกี่ยวกับการประเมินกำลังทหารของประเทศต่างๆ ได้เปิดเผยผลการสำรวจกำลังรบของประเทศไทยและกัมพูชาในปี 2568 โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลภายในประเทศที่ทำการสำรวจในช่วงเดือนมกราคม 2568
การประเมินนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศกำลังเผชิญกับความขัดแย้งทางอาณาเขต เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางทหารที่แท้จริงของแต่ละฝ่าย
กำลังพลและบุคลากรทางทหาร
กำลังพลประจำการ - ความแตกต่างที่ชัดเจน
จากข้อมูลที่เปิดเผย พบว่าประเทศไทยมีกำลังพลประจำการจำนวน 360,850 นาย ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 3 ของภูมิภาคอาเซียน และอันดับที่ 13 ของโลก ในขณะที่กัมพูชามีกำลังพลประจำการ 221,000 นาย จัดอยู่ในอันดับที่ 8 ของอาเซียน และอันดับที่ 22 ของโลก
ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าไทยมีความได้เปรียบในด้านจำนวนกำลังพลประจำการอย่างชัดเจน โดยมีจำนวนมากกว่ากัมพูชาเกือบ 140,000 นาย หรือประมาณ 63% ซึ่งเป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในการประเมินศักยภาพการรบ
กำลังพลสำรอง - ไทยครองความได้เปรียบสูง
ความแตกต่างที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือในเรื่องของกำลังพลสำรอง ประเทศไทยมีกำลังพลสำรองจำนวน 221,000 นาย ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 8 ของอาเซียน และอันดับที่ 22 ของโลก ในขณะที่กัมพูชามีกำลังพลสำรอง 0 นาย หรือจัดอยู่ในอันดับที่ 145 ของโลก
การมีกำลังพลสำรองเป็นปัจจัยสำคัญในการรบที่ยืดเยื้อ เนื่องจากสามารถสับเปลี่ยนกำลังพลและเสริมกำลังได้อย่างต่อเนื่อง ความได้เปรียบของไทยในด้านนี้จึงมีความหมายอย่างยิ่งต่อการวางแผนยุทธศาสตร์ทางทหาร
กำลังพลกึ่งทหาร - การสนับสนุนจากภาคพลเรือน
ในส่วนของกำลังพลกึ่งทหาร ไทยมีจำนวน 25,000 นาย จัดอยู่ในอันดับที่ 28 ของโลก ขณะที่กัมพูชามี 10,000 นาย อยู่ในอันดับที่ 38 ของโลก กำลังพลกึ่งทหารนี้ประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆ เช่น ตำรวจ หน่วยพิทักษ์ และหน่วยสนับสนุนอื่นๆ ที่สามารถช่วยเหลือในภารกิจทางทหารได้
งบประมาณป้องกันประเทศ - ตัวชี้วัดความสามารถในการจัดหาและบำรุงรักษา
ความแตกต่างของงบประมาณที่สะท้อนศักยภาพ
ประเทศไทยมีงบประมาณป้องกันประเทศ 5,887,883,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.9 แสนล้านบาท ขณะที่กัมพูชามีงบประมาณ 860,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท
ความแตกต่างของงบประมาณที่มากถึง 6.8 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ การบำรุงรักษา การฝึกอบรม และการพัฒนาศักยภาพของกำลังพลที่แตกต่างกันอย่างมาก งบประมาณที่มากกว่านี้ยังหมายถึงความสามารถในการรักษาความพร้อมรบและการปรับปรุงเทคโนโลยีทางทหารอย่างต่อเนื่อง
กำลังทางอากาศ - ความเหนือกว่าของไทยในทุกมิติ
อากาศยานรวม - ความแตกต่างที่ชัดเจน
ประเทศไทยมีอากาศยานรวมทั้งหมด 493 ลำ จัดอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก ขณะที่กัมพูชามีเพียง 25 ลำ อยู่ในอันดับที่ 100 ของโลก ความแตกต่างเกือบ 20 เท่านี้แสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าทางอากาศของไทยอย่างชัดเจน
เครื่องบินขับไล่ - การครองอากาศ
ในด้านเครื่องบินขับไล่ ประเทศไทยมี 72 ลำ จัดอยู่ในอันดับที่ 26 ของโลก ในขณะที่กัมพูชาไม่มีเครื่องบินขับไล่เลย หรืออยู่ในอันดับที่ 145 ของโลก การไม่มีเครื่องบินขับไล่นี้หมายความว่ากัมพูชาไม่สามารถควบคุมน่านฟ้าหรือต่อสู้ทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องบินจู่โจม - ความสามารถในการโจมตีทางอากาศ
ประเทศไทยมีเครื่องบินจู่โจม 20 ลำ อยู่ในอันดับที่ 27 ของโลก ขณะที่กัมพูชาไม่มีเครื่องบินจู่โจมเลย เครื่องบินจู่โจมเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงในการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน รวมถึงการสนับสนุนกองทหารราบ การขาดแคลนเครื่องบินประเภทนี้ทำให้กัมพูชาขาดความสามารถในการให้การสนับสนุนทางอากาศแก่กองกำลังภาคพื้นดิน
อากาศยานขนส่ง - ความสามารถในการเคลื่อนย้ายกำลัง
ไทยมีอากาศยานขนส่ง 54 ลำ จัดอยู่ในอันดับที่ 15 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับที่ค่อนข้างสูง ขณะที่กัมพูชามีเพียง 4 ลำ อยู่ในอันดับที่ 47 ของโลก อากาศยานขนส่งมีความสำคัญต่อการเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียงไปยังพื้นที่ปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็ว
เฮลิคอปเตอร์ - ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการ
ประเทศไทยมีเฮลิคอปเตอร์ทั้งหมด 258 ลำ อยู่ในอันดับที่ 17 ของโลก ขณะที่กัมพูชามี 21 ลำ อยู่ในอันดับที่ 75 ของโลก เฮลิคอปเตอร์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติการทางทหารสมัยใหม่ ทั้งการขนส่ง การกู้ภัย การลาดตระเวน และการสนับสนุนกองทหารราบ
เฮลิคอปเตอร์จู่โจม - อาวุธสนับสนุนที่สำคัญ
ไทยมีเฮลิคอปเตอร์จู่โจม 7 ลำ อยู่ในอันดับที่ 35 ของโลก ในขณะที่กัมพูชาไม่มีเฮลิคอปเตอร์จู่โจมเลย เฮลิคอปเตอร์จู่โจมเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงในการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน โดยเฉพาะรถถังและยานเกราะ
ยานเกราะและอาวุธภาคพื้นดิน - การเปรียบเทียบที่น่าสนใจ
รถถัง - ความใกล้เคียงที่น่าประหลาด
ในด้านรถถัง พบความน่าสนใจว่าไทยมีรถถัง 635 คัน อยู่ในอันดับที่ 23 ของโลก ขณะที่กัมพูชามี 644 คัน อยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก ซึ่งกัมพูชามีจำนวนรถถังมากกว่าไทยเล็กน้อย แต่ต้องพิจารณาถึงคุณภาพ เทคโนโลยี และสภาพของรถถังด้วย
รถหุ้มเกราะและยานเกราะต่อสู้ทหารราบ - ความได้เปรียบของไทย
ประเทศไทยมีรถหุ้มเกราะและยานเกราะต่อสู้ทหารราบ 16,935 คัน อยู่ในอันดับที่ 31 ของโลก ขณะที่กัมพูชามี 3,627 คัน อยู่ในอันดับที่ 77 ของโลก ไทยมีความได้เปรียบในหมวดนี้อย่างชัดเจน โดยมีจำนวนมากกว่ากัมพูชาเกือบ 5 เท่า
ปืนใหญ่อัตตาจร - เทคโนโลยีสมัยใหม่
ไทยมีปืนใหญ่อัตตาจร 50 คัน อยู่ในอันดับที่ 44 ของโลก ขณะที่กัมพูชามี 30 คัน อยู่ในอันดับที่ 54 ของโลก ปืนใหญ่อัตตาจรเป็นอาวุธที่มีความสำคัญสูงในการรบสมัยใหม่ เนื่องจากมีความแม่นยำและความยืดหยุ่นในการเคลื่อนที่สูง
ปืนใหญ่ลากจูง - อาวุธสนับสนุนพื้นฐาน
ประเทศไทยมีปืนใหญ่ลากจูง 589 คัน อยู่ในอันดับที่ 19 ของโลก ขณะที่กัมพูชามี 430 คัน อยู่ในอันดับที่ 29 ของโลก แม้ว่าความแตกต่างจะไม่มากนัก แต่ไทยยังคงมีความได้เปรียบในด้านนี้
ยานเกราะยิงจรวด - ความแปลกใจจากกัมพูชา
ในหมวดยานเกราะยิงจรวด กลับพบว่ากัมพูชามีความได้เปรียบอย่างมาก โดยมี 463 คัน อยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก ขณะที่ไทยมีเพียง 26 คัน อยู่ในอันดับที่ 61 ของโลก ความแตกต่างนี้อาจเกิดจากนโยบายการจัดหาอาวุธที่แตกต่างกัน หรือความต้องการเฉพาะของแต่ละประเทศ
กองทัพเรือ - ความเหนือกว่าของไทยอย่างสิ้นเชิง
เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ - ความสามารถที่หาได้ยาก
ประเทศไทยมีเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ จัดอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับที่สูงมาก ขณะที่กัมพูชาไม่มีเรือประเภทนี้เลย เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์เป็นยานรบที่มีความสำคัญสูงในการปฏิบัติการทางทะเล เนื่องจากสามารถขยายรัศมีการปฏิบัติการของเฮลิคอปเตอร์และให้การสนับสนุนทางอากาศในทะเลได้
เรือฟริเกต - หัวใจของกองเรือรบ
ไทยมีเรือฟริเกต 7 ลำ อยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก ขณะที่กัมพูชาไม่มีเรือฟริเกตเลย เรือฟริเกตเป็นเรือรบหลักที่มีความสามารถในการต่อสู้ได้หลากหลาย ทั้งการต่อต้านเรือดำน้ำ การต่อสู้ทางอากาศ และการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน
เรือคอร์เวต - เรือรบขนาดกลาง
ประเทศไทยมีเรือคอร์เวต 6 ลำ อยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก ในขณะที่กัมพูชาไม่มีเรือคอร์เวต เรือคอร์เวตเป็นเรือรบขนาดกลางที่มีความคล่องตัวสูงและเหมาะสำหรับการปฏิบัติการในน่านน้ำชายฝั่ง
เรือลาดตระเวน - การป้องกันชายฝั่ง
ไทยมีเรือลาดตระเวน 49 ลำ อยู่ในอันดับที่ 25 ของโลก ขณะที่กัมพูชามี 20 ลำ อยู่ในอันดับที่ 44 ของโลก เรือลาดตระเวนมีความสำคัญต่อการรักษาความปลอดภัยชายฝั่งและการป้องกันการลักลอบเข้าเมือง
เรือเคลียร์ทุ่นระเบิด - ความสามารถเฉพาะทาง
ประเทศไทยมีเรือเคลียร์ทุ่นระเบิด 5 ลำ อยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก ขณะที่กัมพูชาไม่มีเรือประเภทนี้ เรือเคลียร์ทุ่นระเบิดเป็นเรือเฉพาะทางที่มีความสำคัญต่อการรักษาเส้นทางเดินเรือให้ปลอดภัย
การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์
ความได้เปรียบโดยรวมของไทย
จากข้อมูลที่เปิดเผย สามารถสรุปได้ว่าประเทศไทยมีความได้เปรียบทางทหารเหนือกัมพูชาในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกองทัพอากาศและกองทัพเรือ ซึ่งไทยมีความเหนือกว่าอย่างชัดเจน ในขณะที่ด้านกองทัพบก แม้ว่าจะมีความใกล้เคียงกันในบางหมวดอาวุธ แต่ไทยก็ยังคงมีความได้เปรียบโดยรวม
ปัจจัยที่ควรพิจารณา
แม้ว่าตัวเลขจะแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบของไทย แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ควรนำมาพิจารณา เช่น คุณภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ ระดับการฝึกอบรมของกำลังพล ความพร้อมในการปฏิบัติการ และสภาพภูมิประเทศของพื้นที่ปฏิบัติการ
ความสำคัญของการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี
ข้อมูลการเปรียบเทียบกำลังรบนี้แม้จะให้ข้อมูลที่น่าสนใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี ดังที่ทั้งสองประเทศได้แสดงเจตนารมณ์ไว้ การใช้กำลังทหารควรเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
บทสรุป
ข้อมูลการสำรวจกำลังรบของ Global Fire Power ปี 2568 ได้เผยให้เห็นภาพรวมของศักยภาพทางทหารของทั้งสองประเทศอย่างชัดเจน ประเทศไทยมีความได้เปรียบในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะด้านงบประมาณ กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ ขณะที่กัมพูชามีจุดแข็งในบางหมวดอาวุธเฉพาะ เช่น ยานเกราะยิงจรวด
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความตึงเครียดที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน การที่ทั้งสองประเทศยังคงยึดหลักการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีและการเจรจา แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อประชาชนและความมั่นคงของภูมิภาค
การมีข้อมูลการเปรียบเทียบกำลังรบนี้ควรใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อความเข้าใจเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเร่งเร้าให้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากการแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาและความเข้าใจซึ่งกันและกันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองประเทศและประชาชนของทั้งสองชาติ
หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้อ้างอิงจากการสำรวจของ Global Fire Power ปี 2568 และข่าวสารจากแหล่งต่างๆ ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2568