Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

Notifications
Clear all

"ปลาชะโอน" ดาวรุ่งแห่งวงการสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจไทย กรมประมงเร่งผลิตลูกพันธุ์รองรับความต้องการตลาดที่พุ่งสูง

1 Posts
1 Users
0 Reactions
47 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 5299
Illustrious Member
Topic starter
 

กรมประมงเดินหน้าเพิ่มศักยภาพการผลิตลูกพันธุ์ "ปลาชะโอน" ปลาน้ำจืดดาวรุ่งที่กำลังได้รับความนิยมสูงในตลาดสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ด้วยการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการอนุบาลโดยการควบคุมอุณหภูมิเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตลูกพันธุ์ปลาชะโอนในปี 2568 อีกร้อยละ 10 หรือกว่า 5.3 ล้านตัว รองรับความต้องการของเกษตรกรที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปลาชะโอน: ดาวรุ่งแห่งวงการประมงน้ำจืดไทย

ปลาชะโอน (Ompok bimaculatus) จัดเป็นปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ดอยู่ในวงศ์ปลาเนื้ออ่อน (Family: Siluridae) ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ อาทิ จังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ซึ่งในปัจจุบันความนิยมได้แพร่กระจายไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทยอย่างรวดเร็ว

นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า "ปลาชะโอนกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เนื่องจากเป็นปลาที่มีรสชาติดีเลิศ เนื้อนุ่ม หวานกำลังดี ไม่มีก้างย่อย เหมาะสำหรับการนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งแกงส้ม ต้มยำ ทอดกระเทียม ฉู่ฉี่ หรือแม้แต่แปรรูปเป็นปลารมควัน ประกอบกับราคาจำหน่ายที่ค่อนข้างสูงถึงกิโลกรัมละ 250-400 บาท จึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาให้ความสนใจในการเลี้ยงปลาชนิดนี้มากขึ้น"

ในปัจจุบัน เกษตรกรจากหลายภูมิภาคทั่วประเทศเริ่มหันมาสนใจการเลี้ยงปลาชะโอนเป็นอาชีพ เนื่องจากเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โตเร็ว ใช้ระยะเวลาเลี้ยงเพียง 8-10 เดือนก็สามารถจับจำหน่ายได้ และให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่สูง

เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีการควบคุมอุณหภูมิ

ในช่วงวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมประมงได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร "การอนุบาลปลาชะโอนให้มีประสิทธิภาพสูงโดยการควบคุมอุณหภูมิ" ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดลพบุรี จังหวัดลพบุรี โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นบุคลากรของหน่วยงานภายใต้โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการผลิตพันธุ์กุ้ง พันธุ์ปลา และพันธุ์สัตว์น้ำอื่นๆ ของกรมประมง จากกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และกองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ จำนวน 21 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 40 ราย

นายสุทธิพงศ์ วงษ์ชมภู ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดลพบุรี กล่าวถึงรายละเอียดของหลักสูตรการอบรมว่า "การอบรมครั้งนี้มุ่งเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในด้านเทคนิคการเพาะและอนุบาลลูกปลาชะโอนจากหน่วยงานที่ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยง โดยเนื้อหาหลักสูตรประกอบด้วย การจัดการพ่อแม่พันธุ์ปลาชะโอนตามหลักพันธุศาสตร์ การผลิตพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ที่มีคุณภาพภายใต้ระบบปิด เทคนิคการอนุบาลลูกปลาชะโอนวัยอ่อนระยะ 7 วัน ด้วยการควบคุมอุณหภูมิเพื่อให้มีอัตราการรอดตายสูง เทคนิคการอนุบาลลูกปลาชะโอนวัยอ่อนระยะ 7-21 วัน การอนุบาลลูกปลาชะโอนในบ่อคอนกรีต รวมถึงการคัดขนาดปลาชะโอนระยะต่างๆ"

ความก้าวหน้าในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงปลาชะโอน

นายวิทยา รัตนะ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ หนึ่งในวิทยากรของการอบรม ได้อธิบายถึงความก้าวหน้าในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงปลาชะโอนว่า "การควบคุมอุณหภูมิในการอนุบาลลูกปลาชะโอนวัยอ่อนเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยเพิ่มอัตราการรอดตายได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรกหลังการฟักเป็นตัว ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติที่มีอัตราการตายสูง การควบคุมอุณหภูมิน้ำให้อยู่ในช่วง 28-30 องศาเซลเซียส จะช่วยให้ลูกปลามีการพัฒนาระบบทางเดินอาหารที่สมบูรณ์ กินอาหารได้ดี และมีอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้น ส่งผลให้มีอัตรารอดเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 30-40 เป็นร้อยละ 60-70"

นอกจากนี้ การอบรมยังได้มีการสาธิตนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเพาะเลี้ยงปลาชะโอน อาทิ ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ การใช้อาหารมีชีวิตคุณภาพสูงสำหรับลูกปลาวัยอ่อน เช่น โรติเฟอร์ ไรแดง และอาร์ทีเมีย รวมถึงการใช้โปรไบโอติกเพื่อควบคุมคุณภาพน้ำและเสริมภูมิคุ้มกันให้กับลูกปลา

ความท้าทายและอุปสรรคในการเพาะเลี้ยงปลาชะโอน

แม้ว่าปลาชะโอนจะเป็นปลาที่มีศักยภาพสูงในเชิงเศรษฐกิจ แต่การเพาะเลี้ยงปลาชนิดนี้ยังคงมีความท้าทายและอุปสรรคหลายประการ โดยเฉพาะในด้านการเพาะพันธุ์และอนุบาลลูกปลาวัยอ่อน

ดร.เกรียงศักดิ์ พูนสุข นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ จากสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด กล่าวว่า "ความท้าทายหลักในการเพาะเลี้ยงปลาชะโอนคือ อัตราการรอดตายของลูกปลาในช่วงอนุบาลที่ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรกหลังการฟัก เนื่องจากลูกปลามีขนาดเล็กมาก มีความบอบบางสูง และต้องการอาหารมีชีวิตที่มีคุณภาพและขนาดเหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายในเรื่องของการจัดการคุณภาพน้ำ การควบคุมโรค และการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีคุณภาพ"

อย่างไรก็ตาม ด้วยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงอย่างต่อเนื่องของกรมประมง ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาและความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการรอดตายของลูกปลาเพิ่มสูงขึ้นและต้นทุนการผลิตลดลง

ความต้องการลูกพันธุ์ปลาชะโอนที่เพิ่มสูงขึ้น

นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า "ในปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา งานเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการผลิตพันธุ์กุ้ง พันธุ์ปลาและพันธุ์สัตว์น้ำอื่นๆ ของกรมประมง ซึ่งเป็นหน่วยผลิตปลาชะโอนเพื่อจำหน่ายลูกพันธุ์ สามารถผลิตลูกพันธุ์ปลาชะโอนได้ 4,867,054 ตัว แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง"

สาเหตุหลักที่ทำให้การผลิตลูกพันธุ์ปลาชะโอนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการนั้น เนื่องจากหน่วยงานผลิตลูกพันธุ์ปลาชะโอนของกรมประมงเองยังมีไม่มาก และบุคลากรยังต้องได้รับการถ่ายทอดเทคนิคในการเพาะอนุบาลปลาชะโอนจากผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้มีความพร้อมสำหรับผลิตปลาชะโอนให้เพียงพอและมีคุณภาพรองรับต่อความต้องการของเกษตรกรที่เพิ่มมากขึ้น

"ด้วยเหตุนี้ กรมประมงจึงได้จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ขึ้น เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคการเพาะและอนุบาลปลาชะโอนให้แก่บุคลากรของหน่วยงานภายใต้โครงการเงินทุนหมุนเวียนฯ ทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายว่าในปีงบประมาณ 2568 จะสามารถเพิ่มอัตราการผลิตลูกปลาชะโอนได้มากขึ้นจากเดิมร้อยละ 10 หรือคิดเป็นจำนวน 5,353,759 ตัว เพื่อรองรับความต้องการของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นางฐิติพรกล่าว

ศักยภาพทางการตลาดและโอกาสทางเศรษฐกิจของปลาชะโอน

ปลาชะโอนนับเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงและเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เนื่องจากมีราคาจำหน่ายที่สูงถึงกิโลกรัมละ 250-400 บาท ในขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 80-100 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกษตรกรมีกำไรสุทธิที่ค่อนข้างสูง

นายสมศักดิ์ รัตนโชติ เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาชะโอนจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีประสบการณ์ในการเลี้ยงปลาชะโอนมากว่า 5 ปี เล่าถึงประสบการณ์ว่า "ผมเริ่มเลี้ยงปลาชะโอนในบ่อดินขนาด 1 ไร่ โดยปล่อยลูกปลาขนาด 2-3 นิ้ว จำนวน 5,000 ตัว ใช้ระยะเวลาเลี้ยงประมาณ 8-10 เดือน สามารถจับปลาขนาดตลาด 3-5 ตัวต่อกิโลกรัมได้ประมาณ 800-1,000 กิโลกรัม คิดเป็นรายได้ต่อรุ่นประมาณ 240,000-350,000 บาท หักต้นทุนค่าพันธุ์ปลา อาหาร และค่าดำเนินการอื่นๆ แล้วยังมีกำไรสุทธิประมาณ 150,000-200,000 บาทต่อรุ่น ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนมาก"

นอกจากนี้ ปลาชะโอนยังสามารถเลี้ยงได้ในระบบการเลี้ยงที่หลากหลาย ทั้งบ่อดิน บ่อซีเมนต์ และบ่อพลาสติก รวมถึงสามารถเลี้ยงร่วมกับปลาชนิดอื่นได้ เช่น ปลานิล ปลาตะเพียน ทำให้เกษตรกรมีความยืดหยุ่นในการจัดการฟาร์มและสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการเลี้ยงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่

มาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยอาหาร

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอาหารและการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น กรมประมงได้ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาชะโอนปฏิบัติตามมาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี (Good Aquaculture Practice: GAP) เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ดร.สุมนา มีสมบูรณ์ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ จากกองพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานสินค้าประมงและหลักฐานเพื่อการสืบค้น กรมประมง กล่าวว่า "การเลี้ยงปลาชะโอนตามมาตรฐาน GAP จะช่วยยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของผลผลิต รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการอบรมและคำแนะนำในการจัดการฟาร์มที่ดี การใช้อาหารและยาที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ การจัดการสุขอนามัยฟาร์ม และการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย"

นอกจากนี้ กรมประมงยังส่งเสริมการเลี้ยงปลาชะโอนในระบบอินทรีย์ (Organic Aquaculture) ซึ่งเป็นระบบการเลี้ยงที่ไม่ใช้สารเคมี ยาปฏิชีวนะ และฮอร์โมนสังเคราะห์ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

นโยบายและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมการเพาะเลี้ยงปลาชะโอนเป็นอย่างมาก โดยได้กำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุนต่างๆ เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงปลาชะโอนได้อย่างยั่งยืนและมีกำไร

นางเบญจมาภรณ์ จันทรพัฒน์ ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด กรมประมง กล่าวถึงนโยบายและมาตรการสนับสนุนว่า "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ได้จัดทำแผนพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาชะโอนแบบครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ การพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะและอนุบาล การจัดการฟาร์ม การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การตลาด ตลอดจนการส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกร"

นอกจากนี้ ยังมีโครงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาชะโอน การสนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น ลูกพันธุ์ปลาและอาหารสัตว์น้ำ การจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาชะโอน รวมถึงการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการบริโภคปลาชะโอนให้แพร่หลายมากขึ้น

"โครงการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกร ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตและคุณภาพ รวมถึงขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้การเพาะเลี้ยงปลาชะโอนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับเกษตรกรไทย" นางเบญจมาภรณ์กล่าว

แนวโน้มและทิศทางการพัฒนาในอนาคต

การเพาะเลี้ยงปลาชะโอนในประเทศไทยยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยกรมประมงได้วางแผนการพัฒนาและวิจัยในหลายด้าน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลาชะโอนให้มีความก้าวหน้าและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ดร.ธีระชัย พงศ์จิรพันธุ์ ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง กล่าวถึงแผนการพัฒนาในอนาคตว่า "กรมประมงมีแผนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ปลาชะโอนให้มีคุณภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านการเจริญเติบโต ความต้านทานโรค และคุณภาพเนื้อ โดยใช้เทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ที่ทันสมัย เช่น การคัดเลือกพันธุ์แบบครอบครัว (Family Selection) และการใช้เครื่องหมายทางพันธุกรรม (Genetic Marker) ช่วยในการคัดเลือก"

นอกจากนี้ ยังมีแผนการพัฒนาระบบการเลี้ยงแบบหนาแน่นสูงในระบบปิด (Recirculating Aquaculture System: RAS) ซึ่งเป็นระบบการเลี้ยงที่ใช้น้ำน้อย มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถควบคุมปัจจัยการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาอาหารสำเร็จรูปสูตรเฉพาะสำหรับปลาชะโอน เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยง

"การพัฒนาเหล่านี้จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลาชะโอนของไทยให้มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพสูง และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยเรามีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ปลาชะโอนกลายเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้" ดร.ธีระชัยกล่าว

สรุป: โอกาสและความท้าทายของการเพาะเลี้ยงปลาชะโอนในประเทศไทย

ปลาชะโอนถือเป็นดาวรุ่งแห่งวงการสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจของไทยที่มีศักยภาพสูงและกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณลักษณะเด่นทั้งในด้านการเลี้ยงที่ง่าย โตเร็ว และให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูง ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

อย่างไรก็ตาม การเพาะเลี้ยงปลาชะโอนในประเทศไทยยังคงมีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในด้านการผลิตลูกพันธุ์ที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด การอนุบาลลูกปลาวัยอ่อนที่มีอัตราการรอดตายค่อนข้างต่ำ และการพัฒนาเทคโนโลยีการเลี้ยงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตระหนักถึงความสำคัญและศักยภาพของปลาชะโอน จึงได้มีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคให้แก่บุคลากรและเกษตรกร เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและยกระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงปลาชะโอนของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้าและยั่งยืน

การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร "การอนุบาลปลาชะโอนให้มีประสิทธิภาพสูงโดยการควบคุมอุณหภูมิ" ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความพยายามของกรมประมงในการพัฒนาศักยภาพการผลิตลูกพันธุ์ปลาชะโอนให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร และผลักดันให้ปลาชะโอนเป็นดาวรุ่งแห่งวงการสัตว์น้ำจืดเศรษฐกิจชนิดใหม่ของประเทศไทยอย่างแท้จริง

สำหรับเกษตรกรหรือผู้สนใจที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงปลาชะโอน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสำนักงานประมงจังหวัดใกล้บ้านท่าน หรือสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมประมง www.fisheries.go.th

This topic was modified 4 weeks ago by supachai
 
Posted : 16/05/2025 3:30 pm
Share: