Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

Notifications
Clear all

I-Sang เปิดตัวสร้างปรากฏการณ์ใหม่! ร้านเกาหลีไฟน์ไดนิ่งระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ เชฟดาวมิชลินนำทีมยกระดับอาหารเกาหลีสู่มิติใหม่

1 Posts
1 Users
0 Reactions
22 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 5484
Illustrious Member
Topic starter
 

วงการอาหารเกาหลีในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตื่นเต้น เมื่อ I-Sang (อิ-ซัง) ร้านอาหารเกาหลีไฟน์ไดนิ่งสุดพิเศษเปิดตัวอย่างเป็นทางการในใจกลางกรุงเทพฯ ภายใต้การนำของเชฟสตีฟ ลี นักปรุงอาหารระดับโลกผู้เคยคว้าดาวมิชลินจากฮ่องกง พร้อมนำเสนอแนวคิดใหม่ในการผสานรสชาติต้นตำรับเกาหลีกับเทคนิคการปรุงอาหารสมัยใหม่ สร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใครในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เชฟสตีฟ ลี: จากดาวมิชลินฮ่องกงสู่ใจกลางกรุงเทพฯ

เชฟสตีฟ ลี ผู้ที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปีในวงการอาหารระดับสากล และเคยรับการยกย่องด้วยดาวมิชลินจากร้านอาหารในฮ่องกง ได้ตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเปิดร้านอาหารแห่งใหม่ของเขา ด้วยเหตุผลที่ว่า "กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร และผู้คนที่เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ มากที่สุดในภูมิภาคนี้"

"ผมอยากให้คนไทยได้สัมผัสกับอาหารเกาหลีในมุมมองใหม่ที่ไม่ใช่แค่การย่างเนื้อหรือกิมจิธรรมดา แต่เป็นการเล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมเกาหลีผ่านรสชาติและเทคนิคการปรุงที่ได้รับการพัฒนาจากประสบการณ์ของผมในหลายประเทศ" เชฟสตีฟกล่าวในงานเปิดตัวร้าน

การมาของเชฟสตีฟ ลี ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในวงการอาหารไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่เชฟระดับมิชลินมาเปิดร้านอาหารเกาหลีไฟน์ไดนิ่งในประเทศไทยอย่างเต็มตัว โดยเขาได้นำทีมเชฟชาวเกาหลีและไทยที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี มาร่วมสร้างสรรค์เมนูที่ผสมผสานเอกลักษณ์ของทั้งสองวัฒนธรรม

ทำเลศักยภาพ: หัวใจของย่านหลังสวน

I-Sang ตั้งอยู่ในทำเลทองบนถนนหลังสวน หนึ่งในย่านที่มีชื่อเสียงในด้านร้านอาหารและไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมของกรุงเทพฯ การเลือกทำเลนี้ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ เพราะย่านหลังสวนเป็นจุดรวมของผู้ที่มีรสนิยมในการรับประทานอาหารระดับสูง และเป็นย่านที่สะดวกต่อการเดินทางจากทุกทิศทางของกรุงเทพฯ

ตัวอาคารของร้านได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังจากเกาหลีใต้ ที่เชี่ยวชาญในการสร้างพื้นที่รับประทานอาหารที่สะท้อนเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมเกาหลี แต่ยังคงความเป็นสมัยใหม่และเข้ากับบริบทของกรุงเทพฯ ภายในร้านสามารถรองรับลูกค้าได้ประมาณ 80 ที่นั่ง แบ่งเป็นโซนหลัก โซนครัวเปิด และห้องส่วนตัวสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว

การออกแบบและบรรยากาศ: มินิมอลเกาหลีผสานความหรูหรา

การตกแต่งภายในของ I-Sang ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญาเกาหลีโบราณเรื่อง "จางจิ" (Jangji) ซึ่งหมายถึงความเรียบง่ายที่ซ่อนความลึกซึ้ง โดยใช้วัสดุธรรมชาติอย่างไม้โอ๊ค หินแกรนิต และเซรามิกเกาหลีในการตกแต่ง ผสานกับแสงไฟที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นแต่ยังคงความหรูหรา

จุดเด่นของร้านคือครัวเปิดที่ลูกค้าสามารถมองเห็นกระบวนการปรุงอาหารของเชฟได้อย่างชัดเจน โดยครัวได้รับการออกแบบให้เป็นทั้งพื้นที่ทำงานและเวทีแสดงศิลปะการปรุงอาหารในเวลาเดียวกัน เสียงเพลงเกาหลีแจ๊สแนวใหม่ที่ดังเบาๆ ช่วยเสริมบรรยากาศให้มีความเป็นเกาหลีแต่ไม่หนักจนเกินไป

นอกจากนี้ ร้านยังมีมุมแสดงศิลปกรรมเกาหลีร่วมสมัย และมีพื้นที่จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาเกาหลีโบราณที่ใช้เสิร์ฟอาหารในร้าน ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกับศิลปะและวัฒนธรรมเกาหลีแบบรอบด้าน

ปรัชญาการปรุงอาหาร: การผสานต้นตำรับกับนวัตกรรม

แนวคิดหลักของ I-Sang คือการนำอาหารเกาหลีต้นตำรับมาพัฒนาด้วยเทคนิคการปรุงสมัยใหม่ และการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นไทยมาผสมผสานอย่างลงตัว เชฟสตีฟอธิบายว่า "อาหารเกาหลีมีรากฐานที่แข็งแกร่งมาก แต่เราต้องทำให้มันมีชีวิตชีวาและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับคนในยุคนี้"

กระบวนการคิดค้นเมนูใช้เวลากว่า 8 เดือน โดยทีมเชฟได้ทำการทดลองผสมผสานเครื่องเทศไทยกับเทคนิคการหมักแบบเกาหลี สร้างรสชาติที่คุ้นเคยแต่แปลกใหม่ในเวลาเดียวกัน วัตถุดิบหลักส่วนใหญ่นำเข้าจากเกาหลีและญี่ปุ่น แต่ก็มีการใช้วัตถุดิบไทยคุณภาพสูงอย่างสมุนไพร ผักใบ และผลไม้เขตร้อนมาเป็นส่วนประกอบ

เทคนิคการปรุงที่ใช้ในร้านรวมถึงการหมักแบบ "จังยิ" (Jangyi) ซึ่งเป็นศิลปะการหมักอาหารเกาหลีโบราณที่ใช้เวลานานหลายเดือน การใช้เครื่องมือสมัยใหม่อย่างเครื่องปรุงอาหารแบบ Sous Vide และการใช้ควันไม้ธรรมชาติในการรมควัน ทำให้อาหารแต่ละจานมีความซับซ้อนและลึกซึ้งของรสชาติ

เมนูเด็ด: การเดินทางผ่านรสชาติเกาหลี

เมนูของ I-Sang ได้รับการออกแบบในรูปแบบ Tasting Menu ที่เล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมอาหารเกาหลีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ Traditional Journey (7 คอร์ส), Modern Discovery (10 คอร์ส), และ Chef's Innovation (13 คอร์ส)

SAMGYE TANG & CHOGYE SALAD TART: การต้อนรับแบบเกาหลี

จานเริ่มต้นที่สะท้อนปรัชญาการต้อนรับแขกของคนเกาหลี ซุปไก่โสมแบบดั้งเดิมได้รับการปรับปรุงให้มีความข้นแต่กลมกล่อม โดยใช้ไก่อินทรีย์จากจังหวัดเชียงใหม่ โสมเกาหลีแท้ และข้าวกล้องหอมมะลิ ทำให้รสชาติมีความไทยแต่ยังคงเอกลักษณ์เกาหลี

ทาร์ตสลัดไก่ที่เสิร์ฟคู่กันทำจากแป้งข้าวเกาหลีผสมงาดำ ไส้สลัดไก่ฉีกผสมผักสดไทย ราดด้วยน้ำสลัดที่ทำจากโกชูจัง (Gochujang) น้ำมะขามเปียกไทย และน้ำผึ้งลิ้นจี่ สร้างความสมดุลระหว่างรสเปรี้ยว หวาน เผ็ด และมัน

HWEH: ศิลปะการกินปลาดิบเกาหลี

เมนูนี้เป็นการตีความใหม่ของ Hweh ปลาดิบแบบเกาหลี โดยใช้ปลากะมงนำเข้าจากญี่ปุ่น หั่นเป็นชิ้นบางๆ ห่อด้วยใบชะพลูไทยที่ให้ความหอมเฉพาะตัว โรยด้วยพริกไทยเสฉวนป่นละเอียด และเสิร์ฟพร้อมทาร์ทาร์เนื้อออสเตรเลียเสียบไม้ไผ่

ความพิเศษของจานนี้คือการใช้ใบชะพลูแทนใบเซซิลล่าเกาหลี (Perilla) แบบดั้งเดิม ทำให้ได้รสชาติที่คุ้นเคยสำหรับคนไทยแต่ยังคงเทคนิคและจิตวิญญาณของอาหารเกาหลี การผสมปลาดิบกับเนื้อดิบในจานเดียวกันเป็นนวัตกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการผสานวัฒนธรรมอาหารจากหลายประเทศ

จินปัง (JINPPANG): ขนมปังนึ่งแห่งความทรงจำ

จินปังเป็นขนมปังนึ่งเกาหลีโบราณที่เชฟสตีฟนำมาปรับปรุงใหม่ โดยใช้แป้งข้าวเหนียวเกาหลีผสมกับแป้งสาลี ไส้ในเป็นขนุนไทยที่ผ่านการปรุงรสจนมีเนื้อสัมผัสและรสชาติคล้ายหมูหยอง การใช้ขนุนแทนเนื้อสัตว์เป็นแนวคิดที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของอาหารเกาหลีในยุคปัจจุบันที่เน้นความยั่งยืน

ข้างนอกของจินปังมีเนื้อสัมผัสนุ่มเด้ง ข้างในมีไส้ขนุนที่หวานอมเค็ม มีกลิ่นหอมของใบตะไคร้และข่าไทยที่แทรกอยู่ จานนี้เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมชาเขียวเกาหลีเย็นเป็นเครื่องดื่มคู่

PERILLA OIL GUKSU: บะหมี่แห่งสายลม

เส้นบะหมี่เกาหลีพิเศษที่ทำจากแป้งสาลีเกาหลีผสมแป้งมันเทศ มีเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มคล้ายพาสต้า แต่เบากว่า ราดด้วยซอสที่ทำจากมูสกุ้งสดผสมน้ำมัน Perilla (เปอริล่า) ซึ่งเป็นพืชตระกูลโหระพาที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว

ความพิเศษของจานนี้คือการใช้เทคนิคการทำมูสกุ้งแบบฝรั่งเศส มาผสมกับน้ำมัน Perilla แบบเกาหลี ทำให้ได้ซอสที่มีความมันนุ่ม หอมน้ำมันงา และมีรสกุ้งที่หอมหวาน โรยหน้าด้วยเจียวหอมกรอบ ไข่ปลาบิง และสาหร่ายเกาหลีทอดกรอบ

THE BIRTH: ซุปแห่งการเกิดใหม่

เมนูนี้ได้แรงบันดาลใจจากประเพณีเกาหลีที่มีการกินซุปสาหร่ายในวันเกิด เชื่อกันว่าจะนำโชคดีและอายุยืน ซุปสาหร่ายของ I-Sang ใช้สาหร่ายเกาหลีแท้ต้มกับกระดูกหมูและไก่นานกว่า 12 ชั่วโมง จนได้น้ำซุปที่มีสีเข้มและความข้นแต่ไม่เลี่ยน

เสิร์ฟพร้อมปลาเก๋านึ่งที่หุ้มด้วยใบกล้วยและนึ่งด้วยควันไม้ไผ่ ทำให้เนื้อปลามีความหอมและนุ่ม ข้าวเหนียวทอดกรอบนอกนุ่มในที่ผสมกับถั่วดำเกาหลี และผักดองเกาหลีหลากสี จานนี้เป็นการเฉลิมฉลองชีวิตและการเกิดใหม่ในรูปแบบของอาหาร

KOREAN STYLE SOFT-SHELL CRAB: นวัตกรรมแห่งความเซอร์ไพรส์

ปูนิ่มทอดแป้งเกาหลีพิเศษที่ผสมกับข้าวโอ๊ตป่น ทำให้เนื้อสัมผัสกรอบนอกแต่ไม่มัน ข้างในเนื้อปูยังคงความนุ่มและหวาน ราดด้วยซอสโกชูจังผสมน้ำผึ้งป่าไทยและน้ำมะนาว สร้างรสชาติที่เปรี้ยวหวานเผ็ดเล็กน้อย

การนำปูนิ่มมาปรุงแบบเกาหลีเป็นนวัตกรรมของเชฟสตีฟ ที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าอาหารเกาหลีสามารถปรับเข้ากับวัตถุดิบท้องถิ่นได้อย่างลงตัว โรยหน้าด้วยงาขาวคั่ว หอมใหญ่หัวเล็กทอด และใบแคระป่าทอดกรอบ

ของหวานปิดท้าย: ศิลปะแห่งความหวาน

พานาคอตต้าน้ำผึ้งกับไอศกรีมขิงคาราเมล

ของหวานหลักทำจากนมสดออสเตรเลียผสมน้ำผึ้งแท้จากจังหวัดน่าน มีเนื้อสัมผัสนุ่มละมุนคล้ายเต้าหู้ญี่ปุ่น เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมขิงที่มีรสเผ็ดร้อนอ่อนๆ และซอสคาราเมลที่ทำจากน้ำตาลโคกและน้ำมะขามเปียก

ชีสเค้กเต้าเจี้ยวหมักคาราเมลพริก

ของหวานแปลกใหม่ที่ผสมรสเค็มและหวาน ฐานเป็นชีสเค้กนิวยอร์คสไตล์ หน้าเป็นคาราเมลที่ผสมเต้าเจี้ยวหมักเกาหลีและพริกป่นเล็กน้อย สร้างความซับซ้อนของรสชาติ เสิร์ฟพร้อมชาดอกดาหลาเกาหลีร้อนๆ

การบริการและประสบการณ์ลูกค้า

ทีมบริการของ I-Sang ประกอบด้วยพนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมเรื่องวัฒนธรรมอาหารเกาหลีและเทคนิคการให้บริการระดับไฟน์ไดนิ่ง พนักงานสามารถอธิบายรายละเอียดของแต่ละจาน ประวัติความเป็นมา และเทคนิคการปรุงได้อย่างชัดเจน

ระบบการจองโต๊ะใช้แอปพลิเคชั่นพิเศษที่ลูกค้าสามารถเลือกประเภทเมนู แจ้งความต้องการพิเศษ และดูตัวอย่างอาหารได้ล่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีบริการส่วนตัวสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการจัดงานเลี้ยงหรือประชุมธุรกิจ

ร้านเปิดให้บริการวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 18:00-23:00 น. โดยมีการจำกัดจำนวนลูกค้าเพื่อให้บริการได้อย่างมีคุณภาพ ราคา Tasting Menu เริ่มต้นที่ 2,500 บาทต่อท่าน สำหรับ Traditional Journey, 3,800 บาทสำหรับ Modern Discovery และ 5,200 บาทสำหรับ Chef's Innovation

การตอบรับจากวงการอาหารและสื่อมวลชน

นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม I-Sang ได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์อาหารและนักชิมชั้นนำของประเทศ นิตยสาร Bangkok Fine Dining ได้ให้คะแนน 4.5 จาก 5 ดาว และกล่าวว่า "I-Sang ไม่ใช่แค่ร้านอาหารเกาหลี แต่เป็นสถานที่ที่นำเสนอศิลปะการรับประทานอาหารในระดับสากล"

นักวิจารณ์อาหารชื่อดังอย่างคุณสุนิสา วรรณสิน ได้เขียนรีวิวในคอลัมน์ประจำหนังสือพิมพ์ว่า "เชฟสตีฟ ลี ได้สร้างมิติใหม่ให้กับอาหารเกาหลีในประเทศไทย ไม่ใช่การลอกเลียนแบบ แต่เป็นการสร้างสรรค์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาตัว"

โซเชียลมีเดียของร้านมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใน Instagram ที่มีการแชร์ภาพอาหารและบรรยากาศของร้านกันอย่างแพร่หลาย แฮชแท็ก #ISangBangkok และ #KoreanFineDining กลายเป็นเทรนด์ในหมู่นักชิมและฟู้ดบล็อกเกอร์

ผลกระทบต่อวงการอาหารเกาหลีในไทย

การเปิดตัวของ I-Sang ได้สร้างกระแสการตื่นตัวในวงการอาหารเกาหลีในประเทศไทย ร้านอาหารเกาหลีอื่นๆ เริ่มมีการปรับปรุงเมนูและการบริการให้มีมาตรฐานสูงขึ้น บางร้านเริ่มทดลองนำวัตถุดิบไทยมาผสมผสานกับอาหารเกาหลี ตามแนวทางที่ I-Sang เป็นผู้นำ

การมาของร้านระดับไฟน์ไดนิ่งนี้ยังช่วยยกระดับมาตรฐานของวงการอาหารเกาหลีในประเทศไทยโดยรวม ทำให้เกิดการแข่งขันที่ดี และผลักดันให้เชฟไทยหันมาสนใจศึกษาเทคนิคการปรุงอาหารเกาหลีระดับสูงมากขึ้น

นักวิชาการด้านอาหารจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.ดร.สมพงษ์ ใจดี ได้ให้ความเห็นว่า "I-Sang เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำ Fusion Food อย่างมีหลักการ ไม่ใช่การผสมแบบไม่มีทิศทาง แต่เป็นการศึกษาเข้าใจวัฒนธรรมทั้งสองอย่างลึกซึ้งแล้วจึงค่อยผสมผสาน"

แผนการขยายและวิสัยทัศน์อนาคต

เชฟสตีฟ ลี เปิดเผยว่าเขามีแผนจะขยายแนวคิดของ I-Sang ไปยังเมืองอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเมืองต่อไปที่อยู่ในความสนใจคือสิงคโปร์และฮานอย แต่การขยายสาขาจะต้องมีการปรับเมนูให้เข้ากับวัฒนธรรมอาหารของแต่ละพื้นที่

"ผมเชื่อว่าอาหารเกาหลีมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นไปสู่ระดับสากลได้ เหมือนกับที่อาหารญี่ปุ่นและฝรั่งเศสเคยผ่านมา แต่เราต้องทำให้มันพิเศษและไม่ซ้ำใคร" เชฟสตีฟกล่าว

นอกจากการขยายสาขาแล้ว I-Sang ยังมีแผนจะจัดคลาสสอนทำอาหารเกาหลีระดับไฟน์ไดนิ่งสำหรับผู้ที่สนใจ และการจัดงานอีเวนต์พิเศษที่เชิญเชฟชื่อดังจากเกาหลีใต้มาร่วมทำอาหารเป็นครั้งคราว

ความท้าทายและการปรับตัว

การนำอาหารเกาหลีไฟน์ไดนิ่งมาสู่ตลาดไทยไม่ใช่เรื่องง่าย เชฟสตีฟเล่าว่าความท้าทายใหญ่ที่สุดคือการหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพเหมือนในเกาหลี และการฝึกฝนทีมงานให้เข้าใจเทคนิคการปรุงอาหารเกาหลีที่ซับซ้อน

"วัตถุดิบบางอย่างเราต้องนำเข้าโดยตรงจากเกาหลี เพราะของไทยไม่มี แต่บางอย่างเราสามารถหาทดแทนได้ และบางครั้งการทดแทนนั้นกลับให้รสชาติที่ดีกว่าของเดิม" เชฟสตีฟอธิบาย

อีกความท้าทายหนึ่งคือการทำให้ลูกค้าไทยเข้าใจและชื่นชมอาหารเกาหลีในรูปแบบไฟน์ไดนิ่ง เพราะส่วนใหญ่คุ้นเคยกับอาหารเกาหลีแบบ Street Food หรือ BBQ ทีมร้านจึงต้องใช้เวลาในการอธิบายและให้ความรู้กับลูกค้าเป็นพิเศษ

บทสรุป: ก้าวใหม่ของวงการอาหารเกาหลีในไทย

I-Sang ไม่ได้เป็นเพียงแค่ร้านอาหารเกาหลีใหม่ในกรุงเทพฯ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการยกระดับวงการอาหารเกาหลีในประเทศไทยสู่มิติใหม่ ความสำเร็จของร้านแห่งนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับเชฟรุ่นใหม่ในการสร้างสรรค์อาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมหลากหลายอย่างมีเหตุผล

การมาของเชฟระดับโลกอย่างสตีฟ ลี ยังเป็นการยืนยันว่ากรุงเทพฯ กำลังก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของวงการอาหารระดับสากล และเป็นที่ดึงดูดนักปรุงอาหารชั้นนำจากทั่วโลกให้มาสร้างสรรค์ผลงานในประเทศไทย

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารเกาหลีและต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างจากร้านอาหารเกาหลีทั่วไป I-Sang คือจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาด เพราะที่นี่คุณจะได้สัมผัสกับศิลปะการรับประทานอาหารที่ผสมผสานความเป็นเกาหลีแท้กับนวัตกรรมสมัยใหม่ ในบรรยากาศที่หรูหราและน่าประทับใจ

การเปิดตัวของ I-Sang เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการอาหารเกาหลีของประเทศไทย และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเติบโตของวงการอาหารระดับไฟน์ไดนิ่งในประเทศไทยโดยรวม ในอนาคตเราอาจได้เห็นร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งจากประเทศอื่นๆ ในเอเชียมาเปิดสาขาในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางอาหารระดับโลกที่แท้จริง

This topic was modified 2 months ago by supachai
 
Posted : 30/05/2025 7:08 pm
Share: