สงครามกาแฟในไทยยังคงเดือดระอุ แบรนด์ดังแข่งขันทั้งด้านรสชาติ สาขา และกลยุทธ์การตลาด 'สตาร์บัคส์' นำขบวนทำเงินทะลุหมื่นล้าน ขณะที่ 'กาแฟพันธุ์ไทย' โตแบบก้าวกระโดดถึง 116% ส่วน 'คาเฟ่ อเมซอน' ยังครองแชมป์จำนวนสาขามากที่สุดในไทยกว่า 4,430 แห่ง พร้อมกวาดรายได้ต่อวันกว่า 1 ล้านแก้ว
ตลาดกาแฟเดือด แข่งเดือด ยอดโตไม่หยุด
ร้านกาแฟยังครองตำแหน่งสมรภูมิรบที่ดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งในธุรกิจค้าปลีกของไทย มีทั้งรายใหญ่และรายเล็กบุกเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งมากมาย ปีที่ผ่านมาพบว่า "สตาร์บัคส์" ทำเงินได้ผ่านหลักไมล์ "หมื่นล้าน" ได้สำเร็จ แม้ในระดับโลกจะเผชิญความท้าทายไม่น้อย
ที่น่าจับตามองไม่ให้คลาดสายตาคือ "กาแฟพันธุ์ไทย" ของ "พิทักษ์ รัชกิจประการ" ที่เติบโตเกือบ 116% ภายในปีเดียว กวาดรายได้ทะลุ "3 พันล้าน" บาท สร้างปรากฏการณ์การเติบโตแบบก้าวกระโดดในวงการ
ด้าน "คาเฟ่ อเมซอน" ขยับขยายมากขึ้น สยายปีกทั้งในและนอกประเทศ ยังครองตำแหน่งร้านกาแฟที่มีสาขามากที่สุดในไทยสูงถึง 4,430 สาขา และมีแผนจะขยายเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่อง
ความนิยมในการบริโภคกาแฟของคนไทยยังแรงดีไม่มีตก วัดได้จากแนวโน้มการเติบโตของตลาดกาแฟไทยที่ไม่ได้มีเพียงรายใหญ่ครองตลาด แต่ยังมีรายเล็กที่โตวันโตคืน ขยายไปกี่สาขาก็ได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง ยิ่งเป็นร้านที่มาพร้อมคอนเซปต์ "Affordable Price" หรือราคาที่สมเหตุสมผลยิ่งรุดหน้าได้ไกล
สำหรับปีที่ผ่านมามีเชนกาแฟหลายแห่งทยอยนำส่งงบการเงินประจำปีเป็นที่เรียบร้อย บางเจ้าเติบโตทั้งในแง่รายได้ กำไรสุทธิ และจำนวนสาขา โดยเฉพาะ "กาแฟพันธุ์ไทย" ที่แม้จะมาทีหลังเพื่อน แต่กลับโตไกล-แซงหน้าเชนใหญ่หลายแห่ง พร้อมเร่งเครื่องทำตามเป้าใหญ่สู่ร้านกาแฟที่มีสาขามากที่สุดในประเทศ
ทว่า ปัจจุบัน "คาเฟ่ อเมซอน" (Café Amazon) ยังครองตำแหน่งร้านกาแฟที่มีจำนวนสาขามากสุด ยิ่งช่วงหลังที่ธุรกิจหลักของบริษัทแม่อย่าง "ปตท." ต้องเจอความท้าทายเรื่องราคาน้ำมันในตลาดโลก ก็พบว่า สัดส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ซึ่งมี "คาเฟ่ อเมซอน" เป็นพอร์ชันใหญ่สุดกลับโตวันโตคืน พร้อมกับการทุ่มสรรพกำลังชิงก้อนเค้กทั้งในและนอกประเทศ ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในยุคของ "ดิษทัต ปันยารชุน" เพื่อทำให้คาเฟ่ อเมซอน บริหารจัดการได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น
Café Amazon ขึ้นแท่นธุรกิจหลักเจ้าพ่อน้ำมัน ในไทยก็โต นอกประเทศยังไปได้อีก
ต้นปี 2568 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ "OR" เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2567 โดยระบุว่า มีรายได้จากการขายและบริการ 723,958 ล้านบาท ลดลงราว 5.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ให้เหตุผลว่า มาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงรวมถึงปริมาณการขายก็ลดลงด้วย
แต่ที่น่าสนใจ คือกลุ่มธุรกิจขาไลฟ์สไตล์ที่เป็นร่มใหญ่ของธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มเติบโต 8.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ลึกลงในรายละเอียดยังพบว่า "EBITDA" หรือกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมต่างๆ ของกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 อยู่ที่ 4,887 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,124 ล้านบาท หรือโตขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนกำไรสุทธิก็โต 100% เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันสัดส่วนธุรกิจไลฟ์สไตล์ของ OR มี "คาเฟ่ อเมซอน" เป็นแบรนด์เรือธง นอกจากนั้นยังมี "Pearly Tea" ร้านชานมไข่มุกจากไต้หวัน "Pacamara Coffee Roasters" ร้านกาแฟสเปเชียลตี้ที่ OR เข้าถือหุ้นใหญ่กว่า 81% รวมถึงบิวตี้สโตร์ "found & found" ที่เร่งขยายได้เป็น 10 สาขาในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 สะท้อนว่า ทิศทางของ OR ไม่ได้พึ่งพาธุรกิจขายน้ำมันเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว แต่ยังปรับโฟกัสไปที่ฝั่งค้าปลีกมากขึ้นด้วย
ไล่เรียงความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ในปีที่ผ่านมา มีโมเดล "OR Space" คอนวีเนียนมอลล์ที่พัฒนาจากปั๊มน้ำมันกึ่งคอมมูนิตี้มอลล์ จนกลายเป็น "OR Space" ที่ไม่มีหัวจ่ายน้ำมันอยู่ในพื้นที่ โดยก่อนหน้านี้ "สุชาติ ระมาศ" ผู้อำนวยการใหญ่ OR เคยบอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ไว้ว่า อนาคตอยากผลักดันสัดส่วน Non-oil มากกว่านี้ ตอนนี้ค้าปลีกกินส่วนแบ่งพอร์ตโฟลิโอของ OR ทั้งเครือราว 30% มองว่า เป็นโอกาสทางธุรกิจ บริษัทไม่สามารถอยู่เฉยได้ ต้องหาอะไรใหม่ๆ เข้ามาเสริมทัพบ้าง
อย่างไรก็ตาม "คาเฟ่ อเมซอน" ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจค้าปลีก-ไลฟ์สไตล์ ปีที่ผ่านมายอดขายรวมทั้งหมด 400 ล้านแก้ว เฉลี่ยตกเดือนละ 33 ล้านแก้ว หรือขายได้มากถึง 1.1 ล้านแก้วต่อวัน ส่วนยอดขายทั้งหมดในปี 2567 อยู่ที่ "389 ล้านบาท" เติบโตจากปีก่อนหน้า 18% มีสาขาในประเทศ 4,485 แห่ง นอกประเทศ 437 แห่ง รวมทั้งสิ้นตอนนี้มีสาขาทั้งหมด 4,922 แห่ง (ตัวเลข ณ เดือนเมษายน 2568)
สำหรับสาขานอกประเทศ พบว่า "กัมพูชา" มีจำนวนสาขาคาเฟ่ อเมซอน มากที่สุดรวม 254 แห่ง ส่วนปั๊มปตท. มีทั้งสิ้น 186 แห่ง นอกจากร้านกาแฟยังมีร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น (7-Eleven) และร้านสะดวกซัก "Otteri" ที่ OR ถือหุ้นอยู่ 40% เข้าไปเปิดกิจการร่วมด้วย
คาเฟ่ อเมซอน ปรับโครงสร้างเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
แม้จะมีสาขาเยอะสุดในไทย (ไม่นับรวม All Café ในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven) แต่ผู้บริหารก็มองว่า คาเฟ่ อเมซอน ยังไปได้อีก ที่ผ่านมา OR ภายใต้การบริหารของ "ดิษทัต ปันยารชุน" หัวเรือใหญ่ที่เพิ่งอำลาตำแหน่งไปเมื่อปลายปี 2567 ปฏิรูปโครงสร้างธุรกิจคาเฟ่ อเมซอน แบ่งออกเป็นสามส่วนหลักๆ ตั้งแต่ต้นน้ำในการจัดซื้อวัตถุดิบ กลางน้ำเพื่อดูแลการผลิตและการดำเนินการ และปลายน้ำกำกับดูแลร้านค้าหลายพันแห่ง เชื่อว่า ถ้าพัฒนาต้นน้ำได้ดี ร้านก็สามารถผลิตกาแฟคุณภาพสูงได้
"คาเฟ่ อเมซอน" มีแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้าและกาแฟโรบัสต้าทางภาคเหนือ ร่วมมือกับเกษตรกรในพื้นที่ทั้งในโครงการหลวง สหกรณ์การเกษตร และวิสาหกิจชุมชน มีโรงคั่วกาแฟเป็นของตัวเองที่มีกำลังการผลิต 2,700 ตันต่อปี ตั้งอยู่ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
การควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำนี้ส่งผลให้คาเฟ่ อเมซอนสามารถรักษามาตรฐานรสชาติที่ลูกค้าคุ้นเคยได้ไม่ว่าจะเป็นสาขาไหนในประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จและสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว
"กาแฟพันธุ์ไทย" ม้ามืดที่เกิดช้า แต่มีแววนำไกลกว่าใครเพื่อน
นี่คือร้านกาแฟที่อยู่ในสัดส่วนธุรกิจ Non-oil ของพีทีจี เอ็นเนอยี หรือ "PTG" ภายใต้การนำของ "พิทักษ์ รัชกิจประการ" เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2555 ตลอดเกือบสิบปีที่เปิดกิจการมา "กาแฟพันธุ์ไทย" อยู่ในสภาวะขาดทุนมาโดยตลอด ทว่า พลิกทำกำไรได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นจุดหักเลี้ยวที่ทำให้กาแฟพันธุ์ไทยติดสปีดอย่างก้าวกระโดด
ผลประกอบการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ในปี 2565 มีรายได้รวม 404 ล้านบาท กำไรสุทธิ 78 ล้านบาท และหลังจากนั้นทั้งรายได้และกำไรก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปีล่าสุดทำรายได้ไป "3,049 ล้านบาท" กำไรสุทธิ "291 ล้านบาท" เฉพาะรายได้โตเกือบๆ 116% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ก่อนหน้านี้ผู้บริหารเคยให้ข้อมูลไว้ว่า ยอดขายส่วนใหญ่มาจากสาขาเดิม หรือ "Same-Store Sales Growth" ที่ยังคงเติบโตราวๆ 20-30% ยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาอยู่ที่ 100-120 แก้วต่อวันต่อสาขา เป้าหมายในการขยายสาขาเพิ่มขึ้นทุกปี บวกกับกลยุทธ์การตลาดผ่าน "บัตรแดง" หรือ "PT Max Card Plus" ที่นำไปซื้อเครื่องดื่มร้านกาแฟพันธุ์ไทยแบบมีส่วนลด ทั้งหมดมีส่วนทำให้รายได้และแบรนดิ้งกาแฟพันธุ์ไทยรุดหน้าขึ้นทุกปี
ปีนี้เฉพาะไตรมาสแรก "กาแฟพันธุ์ไทย" ตั้งเป้าขยายเพิ่มอีก 146 แห่ง และยังคงเป้าใหญ่ในการไปให้ถึง 5,000 แห่งภายในปี 2571 ไว้เหมือนเดิม หากทำได้เท่ากับว่า "กาแฟพันธุ์ไทย" จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในแง่จำนวนสาขาแซงหน้า "คาเฟ่ อเมซอน" จะทำได้หรือไม่คงต้องจับตาดูกันต่อไป
เพราะการขยายสาขาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียง 3 ปีไม่ใช่เรื่องง่าย ยากที่สุดสำหรับธุรกิจร้านกาแฟ คือการพัฒนาทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานระดับซีเนียร์ที่ต้องอาศัยความชำนาญ-สั่งสมประสบการณ์พักใหญ่
เจาะลึกกลยุทธ์ความสำเร็จของกาแฟพันธุ์ไทย
กาแฟพันธุ์ไทยสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดเพราะใช้กลยุทธ์หลายประการที่ตอบโจทย์ตลาดได้เป็นอย่างดี เริ่มจากการวางตำแหน่งแบรนด์ที่ชัดเจนในฐานะกาแฟคุณภาพดีราคาสมเหตุสมผล โดยเน้นเมนูที่เข้ากับรสนิยมของคนไทยโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ การมีปั๊มน้ำมัน PT เป็นฐานในการขยายสาขาทำให้กาแฟพันธุ์ไทยสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายและกว้างขวาง ผนวกกับการใช้บัตรสมาชิก PT Max Card Plus ที่ให้ส่วนลดแก่ลูกค้าประจำ ทำให้เกิดการซื้อซ้ำและความภักดีต่อแบรนด์
อีกปัจจัยสำคัญคือการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถเสนอราคาที่แข่งขันได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ทั้งยังมีการพัฒนาเมนูใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เคยให้สัมภาษณ์ว่า การที่กาแฟพันธุ์ไทยเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดเป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวและความอดทนในการสร้างแบรนด์ ซึ่งแม้จะขาดทุนในช่วงแรก แต่เมื่อถึงจุดคุ้มทุนแล้วก็สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เงือกเขียวเสียแชมป์ระดับโลก แต่ยังครองเบอร์ 1 ในไทย
2-3 ปีที่ผ่าน ไม่ใช่ปีที่ดีของสตาร์บัคส์เท่าไหร่ มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารที่เข้ามานั่งได้เพียงไม่นาน ถึงขั้นต้องปลดออกกลางทางเพราะยอดขายที่ย่ำแย่ กระทั่งได้ "บิ๊กดีล" ดึง "ไบรอัน นิกโคล" (Brian Niccol) อดีตผู้บริหารที่คร่ำหวอดในวงการอาหารมาหลายแห่ง มีการยุบ-เพิ่ม-ยกเลิกหลายอย่างเพื่อปรับทิศทางธุรกิจให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น
วิกฤติสตาร์บัคส์ร้ายแรงถึงขนาดที่ "โฮวาร์ด ชูลท์ส" (Howard Schultz) อดีตผู้บริหารสตาร์บัคส์ออกมาแสดงความเห็นผ่านบล็อกส่วนตัวว่า สตาร์บัคส์ต้องเร่งแก้ไขข้อผิดพลาดโดยด่วน ครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องรีบสำนึกผิดและหาต้นตอให้เร็วที่สุด มองว่า โจทย์สำคัญของสตาร์บัคส์ไม่ใช่การเพิ่มยอดการใช้จ่ายของลูกค้า แต่จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภครู้สึกว่า ต้องมาใช้บริการที่ร้านสตาร์บัคส์เท่านั้น
ในขณะที่บรรยากาศของสตาร์บัคส์ระดับโลกดุเดือด ฝั่งสตาร์บัคส์ ประเทศไทย ไม่ได้มีทิศทางเดียวกับบริษัทแม่เสียทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น การปรับกลยุทธ์ 1 แถม 1 ที่ฝั่ง "ไบรอัน นิกโคล" บอกว่า จะลดสัดส่วนโปรโมชันนี้ลง ขณะที่ผู้บริหารไทยบอกว่า ยังคงโปรโมชันดังกล่าวเหมือนเดิม ความถี่อาจจะน้อยลง ไม่ได้เน้นทำบ่อยมากแค่พอให้หายคิดถึงกัน หรือเรื่องการตัดเมนูตระกูล "Frappuccino" ออก เพื่อลดขั้นตอนการทำเครื่องดื่มให้ลีนมากที่สุด สำหรับของไทยก็พบว่า ยังไม่มีความเคลื่อนไหวล้อไปตามนโยบายที่ว่ามา
แม้กระทั่งแผนยกเลิกชาร์จราคาเมนูนมพืช ที่ทางสตาร์บัคส์บริษัทแม่ยกเลิกเก็บเงินส่วนต่างหากลูกค้าต้องการเปลี่ยนวัตถุดิบจากนมวัวเป็นนมพืช ของไทยพบว่า ยังคงไว้เช่นเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามนโยบายดังกล่าว เทียบเคียงกันแล้วทิศทางของ "สตาร์บัคส์ ประเทศไทย" ยังสดใส เมื่อดูตัวเลขผลประกอบการ "บริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ รีเทล จำกัด" ปีล่าสุด พบว่า ทำเงินทะลุหลัก "หมื่นล้านบาท" ได้สำเร็จ
สตาร์บัคส์ไทย ความสำเร็จที่แตกต่างจากบริษัทแม่
เมื่อพลิกดูตัวเลขพบว่า สัดส่วนกำไรสุทธิของสตาร์บัคส์ประเทศไทยลดลงเล็กน้อยราว 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ภาพรวมธุรกิจกาแฟเงือกเขียวในไทยยังไปได้ดี ปัจจุบันมีจำนวนสาขา 525 แห่ง อัตราการเปิดสาขาใหม่เฉลี่ยที่ 30 แห่งต่อปี โดย "เนตรนภา ศรีสมัย" กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย เคยให้ข้อมูลไว้ว่า ในฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "ไทย" ถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง ยังมีที่ทางให้ขยายสาขาใหม่ๆ ได้อีกเรื่อยๆ
ความสำเร็จของสตาร์บัคส์ในประเทศไทยเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการปรับตัวให้เข้ากับรสนิยมของคนไทย โดยมีเมนูพิเศษเฉพาะประเทศไทยอย่าง Thai Tea Frappuccino หรือ Iced Thai Tea Latte ที่ได้รับความนิยมสูง รวมถึงการทำโปรโมชันที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทย เช่น โปรโมชัน 1 แถม 1 ในช่วงเวลาที่กำหนด และการออกแก้วสะสมที่เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักสะสม
นอกจากนี้ การเลือกทำเลที่ตั้งในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูงและการออกแบบร้านที่มีเอกลักษณ์สามารถดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดี แม้ว่าราคาจะสูงกว่าร้านกาแฟทั่วไป แต่ผู้บริโภคชาวไทยก็ยังคงยินดีจ่ายเพื่อประสบการณ์และภาพลักษณ์ที่ได้รับจากแบรนด์
"อินทนิล" โตเสมอตัว "Black Canyon" ขายดีขึ้น ส่วน "True Coffee" เริ่มไปนอกช็อป
นอกจาก "คาเฟ่ อเมซอน" และ "กาแฟพันธุ์ไทย" ที่โตไปพร้อม Core Business อย่างปั๊มน้ำมัน ฟากฝั่งค่ายบางจากก็มี "อินทนิล" (Inthanin) ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 ปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 1,060 สาขา พร้อมกับรายได้ปีล่าสุด "1,100 ล้านบาท" กำไรสุทธิ "11.7 ล้านบาท" โดยหากดูรายได้ย้อนหลังของกาแฟอินทนิลภายใต้การบริหารของ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด พบว่า มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทำเงินแตะหลักพันล้านได้มาตั้งแต่ปี 2565
ผู้บริหารบางจาก รีเทล เคยให้ข้อมูลไว้ว่า ธุรกิจร้านกาแฟยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ปัจจุบันบางจากมีปั๊มน้ำมัน 2,200 แห่ง แต่ร้านอินทนิลมีเพียง 1,000 แห่ง (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2567) มองว่า "อินทนิล" ยังมีโอกาสโตต่อทั้งในและนอกพื้นที่ให้บริการปั๊มน้ำมัน แผนติดสปีดหลังจากนี้อยากเร่งขยายสาขาให้ได้ 200 แห่งต่อปี พร้อมเจาะ Gen Z เป็นกลุ่มเป้าหมายถัดไป
สำหรับ "แบล็ค แคนยอน" (Black Canyon) น่าจะเป็นเชนกาแฟที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในไทย อยู่มานาน 32 ปีเต็ม แม้ภาพลักษณ์จะให้ความรู้สึกเหมือนแบรนด์จากต่างประเทศ แต่ "แบล็ค แคนยอน" ก่อตั้งและบริหารโดยคนไทยแท้ๆ
ข้อมูลจากเว็บไซต์ Creden Data ระบุว่า บริษัท แบล็ค แคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด อยู่ภายใต้การบริหารของตระกูลจิตนราพงศ์ มีบริษัท โปร-ลายน์ โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทโฮลดิ้งของตระกูล ประกอบธุรกิจกี่ยวกับค้าขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 สัดส่วน 20.37%
ส่วนรายได้ของ "แบล็ค แคนยอน" พบว่า ทำเงินได้ราวๆ 1,300-1,500 ล้านบาทมาตลอดสิบปี ทำกำไรสม่ำเสมอ ยกเว้นในช่วงปี 2562-2564 ที่ติดลบสูงสุดถึงร้อยล้านบาท คาดว่า เป็นผลกระทบจากสถานการณ์ล็อกดาวน์ เพราะสาขาส่วนใหญ่ของ "แบล็ค แคนยอน" ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า
อินทนิล - กลยุทธ์รุกตลาดที่แตกต่าง
อินทนิลมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยเน้นความเป็นแบรนด์กาแฟไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นำเสนอเมนูที่หลากหลายนอกเหนือจากกาแฟ เช่น ชาและเครื่องดื่มสมุนไพร ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น
นอกจากนี้ อินทนิลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ และการออกแบบร้านที่มีเอกลักษณ์สะท้อนความเป็นไทยในรูปแบบร่วมสมัย ทำให้สามารถดึงดูดลูกค้าได้ทั้งกลุ่มคนทำงานและกลุ่มวัยรุ่น
การขยายสาขาของอินทนิลที่ตั้งเป้าหมาย 200 สาขาต่อปีเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างรวดเร็ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในศักยภาพของตลาดและความแข็งแกร่งของแบรนด์ โดยเฉพาะการเจาะกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นและมีพฤติกรรมการบริโภคกาแฟที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน
แบล็ค แคนยอน - ตำนานกาแฟไทยที่ยืนหยัดท่ามกลางการแข่งขัน
แบล็ค แคนยอนถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกธุรกิจร้านกาแฟในประเทศไทย ที่สามารถอยู่รอดและเติบโตมาได้ยาวนานถึง 32 ปี แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งแบรนด์ต่างชาติและแบรนด์ในประเทศ
จุดเด่นของแบล็ค แคนยอนคือการนำเสนอตัวเองเป็นร้านกาแฟที่มีอาหารให้บริการด้วย ซึ่งแตกต่างจากเชนกาแฟส่วนใหญ่ที่เน้นเฉพาะเครื่องดื่มและขนมเบเกอรี่เท่านั้น ทำให้สามารถดึงดูดลูกค้าที่ต้องการใช้เวลาในร้านนานขึ้นและสร้างรายได้เพิ่มเติมจากเมนูอาหาร
อย่างไรก็ตาม การที่สาขาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าทำให้แบล็ค แคนยอนได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อห้างสรรพสินค้าต้องปิดให้บริการตามมาตรการล็อกดาวน์ แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังสถานการณ์คลี่คลาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และความภักดีของลูกค้า
ด้าน "ทรูคอฟฟี่" (True Coffee) ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 แรกเริ่มเดิมทีมาจากแนวคิดที่ต้องการเสิร์ฟเครื่องดื่มและเบเกอรีให้ลูกค้าที่มารอจ่ายบิลค่าโทรศัพท์ แต่ไปๆ มาๆ รสชาติของทรูเริ่มกลายเป็นที่ติดอกติดใจ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ "ชานมเย็นเกล็ดหิมะ" เป็นที่เลื่องลือถึงความหอมอร่อยนัวแบบไม่มีใครเหมือน แต่ที่มากไปกว่านั้น คือพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทยที่โตวันโตคืน จนทำให้เกิด "ทรูคอฟฟี่" ไม่ได้หยุดแค่ร้านสำหรับนั่งรอ แต่ยังเป็น "เดสทิเนชัน" ที่ลูกค้าเดินเข้ามาซื้อเพราะนึกถึง
ทรูคอฟฟี่ - จากบริการเสริมสู่แบรนด์กาแฟที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น
รายได้ปี 2567 ของ "ทรูคอฟฟี่" ภายใต้บริษัท ทรู ไลฟ์สไตล์ รีเทล จำกัด อยู่ที่ "264 ล้านบาท" ขาดทุนสุทธิ "226 ล้านบาท" ส่วนปีอื่นๆ ก่อนหน้ารายได้ยังคงเกาะกลุ่มที่หลัก 200-400 ล้านบาท โดยเป้าหมายที่เคยประกาศไว้จะมีการขยายสาขามากขึ้น ไม่ได้จำกัดตัวเองไว้กับช็อปทรูเพียงอย่างเดียว แต่เป็นร้านกาแฟที่พร้อมสู้ในสมรภูมิที่ดุเดือดพร้อมกับความต้องการที่มากขึ้นทุกวัน
ทรูคอฟฟี่มีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นโดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบเมนูเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะชานมเย็นเกล็ดหิมะที่กลายเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน แม้ว่าที่ผ่านมาทรูคอฟฟี่จะประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจและปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงต่อไป
การที่ทรูคอฟฟี่เริ่มขยายสาขาออกนอกช็อปทรูเป็นการปรับตัวที่สำคัญ เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น และไม่ต้องพึ่งพาธุรกิจหลักของทรูคอร์ปอเรชั่นเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค
เทรนด์และอนาคตของธุรกิจกาแฟในประเทศไทย
ธุรกิจกาแฟในประเทศไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาดื่มกาแฟมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองว่าการดื่มกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์
นอกจากนี้ เทรนด์การทำงานนอกสถานที่ (Work from Anywhere) ที่เพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 ยังส่งผลให้ร้านกาแฟกลายเป็นสถานที่ทำงานทางเลือกของคนทำงานอิสระและพนักงานออฟฟิศ ทำให้มีความต้องการร้านกาแฟที่มีบรรยากาศและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน
เทรนด์ใหม่ๆ ในวงการกาแฟที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทยยังรวมถึงกาแฟสเปเชียลตี้ ที่เน้นคุณภาพและความพิเศษของเมล็ดกาแฟ กาแฟผสมผลไม้ ที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม Gen Z และเมนูกาแฟที่เป็นมิตรกับสุขภาพ เช่น กาแฟโลว์ชูการ์หรือกาแฟที่ใช้นมพืชทดแทนนมวัว
อีกเทรนด์ที่น่าสนใจคือการใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้นในธุรกิจร้านกาแฟ ทั้งการสั่งออนไลน์ การชำระเงินไร้เงินสด และการใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างการรับรู้แบรนด์และดึงดูดลูกค้า
บทสรุป: ยักษ์กาแฟไทยยังโตต่อเนื่อง พร้อมปรับตัวรับความท้าทายใหม่
ตลาดกาแฟในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง โดยแต่ละแบรนด์ต่างมีกลยุทธ์และจุดแข็งที่แตกต่างกันไป สตาร์บัคส์ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านรายได้ด้วยยอดขายที่ทะลุหมื่นล้านบาท ขณะที่คาเฟ่ อเมซอนครองอันดับหนึ่งด้านจำนวนสาขาที่มากที่สุดในประเทศ
กาแฟพันธุ์ไทยโดดเด่นด้วยอัตราการเติบโตที่สูงถึง 116% ในรอบปีที่ผ่านมา และมีแผนขยายสาขาอย่างก้าวกระโดดเพื่อขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในอนาคต ส่วนแบรนด์อื่นๆ อย่างอินทนิล แบล็ค แคนยอน และทรูคอฟฟี่ ต่างก็มีการปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์เพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายส่วนแบ่งทางการตลาด
ความท้าทายสำคัญของธุรกิจกาแฟในอนาคตไม่ใช่เพียงการแข่งขันด้านรสชาติและราคาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตอบสนองต่อเทรนด์ใหม่ๆ ของผู้บริโภค การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
ในท้ายที่สุด แม้ว่าตลาดกาแฟในประเทศไทยจะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่ด้วยวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่ฝังรากลึกและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้ยังมีพื้นที่ให้ทุกแบรนด์ได้เติบโตต่อไป โดยเฉพาะแบรนด์ที่สามารถปรับตัวและนำเสนอประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง