อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของไทยในปี 2568 กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจ และปัจจัยภายในประเทศที่หลากหลาย ส่งผลให้ผู้ประกอบการทุกระดับต้องเร่งปรับแผนธุรกิจ รัดเข็มขัด และหาแนวทางใหม่ในการแข่งขัน เพื่อความอยู่รอดในตลาดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
สถานการณ์วิกฤตของภาคอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมอาหารไทยในปี 2568 เผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดในรอบหลายปี จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจ และปัญหาต่างๆ ภายในประเทศ ล้วนส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ผลิตรายใหญ่ไปจนถึงร้านอาหารขนาดเล็ก
สถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งผลต่อตัวเลขยอดขายเท่านั้น แต่ยังบีบให้ผู้ประกอบการต้องทบทวนกลยุทธ์ทางธุรกิจ ปรับโครงสร้างต้นทุน และหาแนวทางใหม่ๆ ในการแข่งขัน เพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ปัจจัยภายนอกที่กดดันธุรกิจ
ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจในประเทศไทยมีหลายประการ โดยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ในภาวะไม่แน่นอนเป็นปัจจัยหลัก สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตและการค้าโลก ภาษีระหว่างประเทศที่เพิ่มภาระต้นทุนการส่งออก และค่าเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทย
เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดโลก ทำให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังในการวางแผนธุรกิจและการลงทุน การคาดการณ์ยอดขายและการวางแผนการผลิตกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ยาก
ปัจจัยภายในที่เพิ่มความกดดัน
นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว ปัจจัยภายในประเทศก็สร้างความท้าทายไม่น้อย ภาวะทางการเมืองที่ไม่นิ่งทำให้อัตราการเติบโตของธุรกิจช้าลง ปัญหาวัตถุดิบในประเทศที่เกษตรกรไทยปลูกพืชผลทางการเกษตรน้อยลง เนื่องจากมีวัตถุดิบราคาถูกจากจีนเข้ามาตีตลาด และนโยบายการขึ้นค่าแรงของรัฐบาลที่เพิ่มภาระต้นทุนการผลิต
สถานการณ์เหล่านี้สร้างความกดดันให้กับผู้ประกอบการในการบริหารต้นทุนและการวางแผนธุรกิจ การที่เกษตรกรไทยลดการปลูกพืชผลการเกษตรส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงในด้านความมั่นคงทางอาหารและการควบคุมคุณภาพ
เซ็ปเป้ : ติดลบครั้งแรกในรอบ 5 ปี
บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE หนึ่งในผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำของไทย ได้เผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงในปีนี้ นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า แม้จะมีกำไรสุทธิ 224 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า กำไรสุทธิปรับตัวลดลง 36.5%
สาเหตุหลักของการชะลอตัว
การชะลอตัวของ SAPPE มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ฤดูหนาวที่ยาวนานกว่าปกติส่งผลให้คำสั่งซื้อจากต่างประเทศชะลอตัว ระดับสินค้าคงคลังในยุโรปที่ยังสูงทำให้การสั่งซื้อใหม่ลดลง และการสั่งซื้อล่วงหน้าของคู่ค้าในตะวันออกกลางและอินโดนีเซียที่ได้สั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าไปมากในช่วงปลายปี 2567 เพื่อเตรียมจำหน่ายในช่วงรอมฎอน
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทเผชิญภาวะขาดทุนสุทธิครั้งแรกในรอบหลายปี ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย การที่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง SAPPE ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์ที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญ
กลยุทธ์การปรับตัวของ SAPPE
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทาย SAPPE ได้ปรับกลยุทธ์ในหลายด้าน การสร้างแบรนด์โดยเน้นการสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดเป้าหมาย การเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง (Consumer Insight) ผ่านการศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละตลาด และการจัดการหน้าร้านให้มีประสิทธิภาพผ่านการปรับปรุงการขายและการตลาดในจุดขาย
โดยเฉพาะในตลาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบอย่างฝรั่งเศส บริษัทได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การแจกคูปองและสินค้าตัวอย่าง เพื่อกระตุ้นยอดขายและดึงดูดลูกค้าใหม่กลับมา กลยุทธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการฟื้นฟูธุรกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
มุมมองต่ออนาคต
ปิยจิต ยอมรับว่าปีนี้เป็นปีที่ท้าทายอย่างมาก โดยคาดการณ์ว่าทั้งปีอาจติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมั่นใจในกลยุทธ์ที่วางไว้และเชื่อมั่นว่าการปรับตัวและแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องจะนำพาองค์กรกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว
บริษัทยังคงมีความหวังจากศักยภาพของตลาดต่างประเทศที่ยังคงมีโอกาสอีกมาก หากสามารถปรับกลยุทธ์และแก้ไขปัญหาปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความมั่นใจนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทและความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดโลก
เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ : ยืดหยุ่นรับมือความผันผวน
บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตขนมปังภายใต้แบรนด์ "ฟาร์มเฮ้าส์" ได้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการท่ามกลางความท้าทาย นายอภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย กรรมการผู้อำนวยการ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ฟาร์มเฮ้าส์ยังคงสามารถประคองธุรกิจไปได้ เนื่องจากสินค้าพร้อมทานมีราคาไม่สูงและยังเป็นที่ต้องการของตลาด
การติดตามสถานการณ์และปรับแผน
บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังในการบริหารจัดการโดยการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมปรับแผนตามกลไกตลาดและนโยบายภาครัฐอยู่เสมอ ความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
การที่บริษัทสามารถรักษาเสถียรภาพของธุรกิจได้ท่ามกลางความผันผวนของตลาด แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดปัจจุบัน
การปรับราคาเพื่อผู้บริโภค
เมื่อสถานการณ์เริ่มหันหน้าไปในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อราคาต้นทุนเริ่มปรับตัวลดลง ฟาร์มเฮ้าส์ได้เดินหน้าปรับลดราคาสินค้า 5-10% โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา จำนวน 30 รายการจากสินค้าทั้งหมดราว 100 รายการ เช่น สินค้าบางชนิดที่เคยขายในราคา 42 บาท ถูกปรับลงเหลือ 40 บาท
การปรับลดราคาในขณะที่หลายบริษัทยังคงรักษาราคาเดิมหรือเพิ่มราคา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการแบ่งผลประโยชน์ให้กับผู้บริโภค และการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด
การปรับผลิตภัณฑ์ตามเทรนด์ผู้บริโภค
นอกจากการปรับราคาแล้ว บริษัทยังได้ปรับขนาดสินค้าให้เล็กลง เพื่อตอบรับกับเทรนด์ผู้บริโภคที่อาศัยอยู่คนเดียวหรือครอบครัวขนาดเล็ก ซึ่งต้องการสินค้าที่บริโภคหมดในครั้งเดียวและสะดวกต่อการจัดเก็บ การปรับตัวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนการบรรจุภัณฑ์และการขนส่ง ทำให้บริษัทสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง
การขยายตลาดต่างประเทศ : โอกาสใหม่ในยุคท้าทาย
การขยายตลาดต่างประเทศกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญของหลายบริษัทในการรับมือกับความท้าทายในตลาดภายในประเทศ ฟาร์มเฮ้าส์ได้วางแผนขยายตลาดต่างประเทศและหาโอกาสใหม่ จากปัจจุบันที่ส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) และมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศจีน โดยจะเน้นสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษานาน เช่น กลุ่มขนมปังกรอบ
ศักยภาพของตลาดในประเทศ
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าการบริโภคขนมปังในประเทศไทยยังคงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซียหรือญี่ปุ่น ซึ่งมีการบริโภคขนมปังสูงกว่าไทยหลายเท่า การที่เทรนด์การบริโภคแฮมเบอร์เกอร์ในไทยเติบโตขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดขนมปังในประเทศ
ฟาร์มเฮ้าส์สามารถทำยอดขายแฮมเบอร์เกอร์บันได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องจัดโปรโมชั่นมากนัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดขนมปังในประเทศที่ยังไม่ได้มีการเจาะกลุ่มผู้บริโภคอย่างเต็มที่ การเติบโตของตลาดในประเทศจึงยังคงเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญควบคู่ไปกับการขยายตลาดต่างประเทศ
การใช้ประสบการณ์จากบริษัทแม่
แม้ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศยังคงอยู่ในตัวเลขหลักเดียว แต่ฟาร์มเฮ้าส์เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประสบการณ์และความสำเร็จของบริษัทแม่ที่ใช้เวลาลงทุนและสร้างเครือข่ายลูกค้าในต่างประเทศมานานหลายปี
การได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของบริษัทแม่ในการทำตลาดต่างประเทศเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดใหม่ๆ
การขยายตลาด B2B
ฟาร์มเฮ้าส์ตั้งเป้าหมายในการขยายตลาด B2B เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการร้านคาเฟ่ ร้านกาแฟ โรงแรม และร้านอาหาร โดยมีสินค้าหลากหลายประเภทที่เหมาะกับความต้องการที่แตกต่างกัน ตั้งแต่เกล็ดขนมปัง คุกกี้ เค้ก ไปจนถึงแซนวิช
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัว "Frozen Dough" หรือแป้งพิซซ่าแช่แข็งในงานแสดงสินค้าเป็นครั้งแรก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการที่ต้องการวัตถุดิบคุณภาพดีและสะดวกในการใช้งาน แม้ปัจจุบันรายได้กลุ่ม B2B มีสัดส่วนกว่า 10% แต่คาดว่าการรุกตลาด Frozen Dough ในปี 2568 จะช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้ B2B ให้เติบโตมากขึ้น
ซันสวีท : ลงทุนนวัตกรรมเพื่อลดต้นทุน
บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) ภายใต้การนำของดร.องอาจ กิตติคุณชัย นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และประธานบริหาร ได้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเชิงรุกผ่านการลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทาย
การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่
ซันสวีทได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจด้วยการลงทุนในขบวนการผลิตเพิ่มเติมหลายอย่าง เช่น การทำแพคเกจจิ้งใหม่เป็นถุงสุญญากาศ เทตรา รีคาร์ท (Tetra Recart) โดยใช้เงินลงทุนราว 50 ล้านบาท รวมกับพาร์ทเนอร์รวม 250 ล้านบาท
เทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยให้เพิ่มปริมาณการขนส่งและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยดันยอดการเติบโตในปีนี้ เพราะจะช่วยทำให้ต้นทุนต่ำลง การลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทและความมุ่งมั่นในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต
ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและต้นทุน
การลงทุนในเทคโนโลยี Tetra Recart ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการผลิตเท่านั้น แต่ยังสร้างประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน การที่บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายสองด้านพร้อมกันแสดงให้เห็นถึงการวางแผนที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพ
การลงทุนดังกล่าวยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว โดยการลดต้นทุนการผลิตจะทำให้บริษัทสามารถเสนอราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น หรือรักษาอัตรากำไรที่ดีในสภาวะที่ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น
ผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหาร
สถานการณ์วิกฤตของอุตสาหกรรมอาหารไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะผู้ผลิตขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังกระทบถึงธุรกิจร้านอาหารด้วย ดร.ศีขรเชษฐ์ ใบสมุทร ประธานกรรมการ บริษัท สยาม รอยัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ให้ภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารที่แสดงให้เห็นถึงความผันผวนที่ชัดเจน
ความแตกต่างระหว่างไตรมาส
ไตรมาสแรกถือว่ายังไปได้ดี ไม่มีผลกระทบมากนัก เพราะเป็นช่วงที่ธุรกิจท่องเที่ยวคึกคัก มีเทศกาลวันหยุดหลายอย่าง ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามาก แต่ไตรมาสสอง ธุรกิจร้านอาหารกลับยอดตกไปถึง 30% สาเหตุหลักมาจากนักท่องเที่ยวจีนหายไป และเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้กำลังซื้อของคนลดลง
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของธุรกิจร้านอาหารที่พึ่งพาปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและกำลังซื้อของผู้บริโภค การที่ยอดขายลดลงถึง 30% ในเวลาเพียงไตรมาสเดียวเป็นสัญญาณที่น่าวิตกสำหรับผู้ประกอบการ
ปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
บริษัทต้องมีแผนรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งสถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบในปีนี้สูงขึ้นอย่างชัดเจน สาเหตุหลักมาจากเกษตรกรไทยปลูกพืชผลทางการเกษตรน้อยลง เนื่องจากปัจจุบันมีวัตถุดิบราคาถูกจากจีนเข้ามาตีตลาด ทำให้เกษตรกรไทยขาดแรงจูงใจในการเพาะปลูก ประกอบกับกำลังซื้อในตลาดโลกลดลงจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา
สถานการณ์นี้สร้างภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่ต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ในขณะที่กำลังซื้อของลูกค้าลดลง การจะปรับขึ้นราคาเมนูอาหารก็อาจทำให้ลูกค้าหลีกหนี ในขณะที่การรักษาราคาเดิมก็อาจทำให้ธุรกิจขาดทุน
กลยุทธ์การรับมือของผู้ประกอบการ
เพื่อรับมือกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น บริษัทจึงต้องเร่งหาซัพพลายเออร์และแหล่งผลิตวัตถุดิบรายใหม่ๆ แม้ว่ากำไรอาจจะลดลงบ้าง แต่บริษัทก็ยังคงตรึงราคาขายสินค้าเดิมไว้ ไม่ขึ้นราคา การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาลูกค้าและความสามารถในการแข่งขัน แม้จะต้องแลกกับกำไรที่ลดลง
กลยุทธ์การบริหารจัดการ
กลยุทธ์การบริหารจัดการเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ประกอบด้วยหลายมิติ การบริหารจัดการซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพผ่านการปรับปรุงกระบวนการจัดหาและบริหารสินค้าคงคลัง การสั่งซื้อวัตถุดิบในปริมาณมากเพื่อให้ได้ราคาต้นทุนที่ถูกกว่าราคาตลาดทั่วไป โดยใช้หลักการ Economy of Scale และการไม่ปรับขึ้นราคาสินค้าเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและไม่สร้างภาระเพิ่มให้กับผู้บริโภค
กลยุทธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และความยืดหยุ่นของผู้ประกอบการในการหาทางออกจากสถานการณ์ที่ท้าทาย การที่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ท่ามกลางต้นทุนที่สูงขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
ภาพรวมและแนวโน้มครึ่งปีหลัง
แนวโน้มในครึ่งปีหลัง มองว่าภาพรวมธุรกิจร้านอาหารจะยังคงซบเซา และต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะจากปัจจัยประเด็นการค้าสหรัฐกับจีนที่ไม่แน่นอน สถานการณ์นี้สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการที่ต้องวางแผนธุรกิจในสภาวะที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ปัจจัยที่อาจช่วยกระตุ้นธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นธุรกิจร้านอาหารให้กลับมาคึกคักได้ คือผู้บริโภคต้องหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพและรสชาติอาหารมากขึ้น ซึ่งจะทำให้คนรับรู้ถึงการใช้วัตถุดิบที่ดี และหันมาสนับสนุนธุรกิจอาหารภายในประเทศมากขึ้นตามไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคนี้อาจเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่มุ่งเน้นคุณภาพและความเป็นเลิศในด้านรสชาติ การที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าราคาอาจช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาอัตรากำไรได้ดีขึ้น
ความท้าทายที่ยังคงอยู่
แม้จะมีปัจจัยบวกบางประการ แต่ความท้าทายที่ยังคงอยู่ยังมีมาก อัตราการเติบโตของธุรกิจในครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2567 แต่แนวโน้มของครึ่งหลังของปีน่าจะเติบโตมากกว่า ทั้งนี้ต้องรอดูว่าเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าจะผลกระทบต่อเนื่องมากน้อยแค่ไหน
การคาดการณ์ที่ระมัดระวังนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ในตลาด และความจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องมีความยืดหยุ่นและพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
บทสรุป : การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มไทยในปี 2568 กำลังเผชิญกับการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ความท้าทายที่มาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศได้บีบให้ผู้ประกอบการต้องคิดใหม่ ทำใหม่ และปรับตัวอย่างรวดเร็ว
จากกรณีศึกษาของบริษัทต่างๆ ที่นำเสนอ จะเห็นได้ว่าแต่ละบริษัทมีวิธีการรับมือที่แตกต่างกัน บางแห่งเน้นการปรับกลยุทธ์การตลาด บางแห่งลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ บางแห่งขยายตลาดต่างประเทศ และบางแห่งมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำเร็จในการผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัว ความคิดสร้างสรรค์ในการหาทางออก และการมีวิสัยทัศน์ระยะยาวที่ชัดเจน ผู้ประกอบการที่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้จะไม่เพียงแต่อยู่รอดได้ แต่ยังสามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
สถานการณ์ปัจจุบันอาจเป็นโอกาสสำคัญในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การที่ต้องเผชิญกับความท้าทายจะช่วยกลั่นกรองและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ทำให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจฟื้นตัว
ในระยะยาว อุตสาหกรรมอาหารไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโต ทั้งจากตลาดภายในประเทศที่ยังมีพื้นที่สำหรับการขยายตัว และตลาดต่างประเทศที่เปิดโอกาสให้กับสินค้าไทยที่มีคุณภาพ ความสามารถในการปรับตัวและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาอุตสาหกรรมนี้ให้ผ่านพ้นความท้าทายและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
สำหรับผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจหมายถึงการได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีขึ้น ราคาที่เหมาะสม และการบริการที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันอย่างหนักเพื่อรักษาลูกค้าและสร้างความแตกต่าง ในที่สุด ความท้าทายในวันนี้อาจกลายเป็นโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมอาหารไทยที่แข็งแกร่งและยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต