ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดในรอบหลายปี เมื่อทั้งแบรนด์ใหญ่และร้านเล็กต่างต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจที่ชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคที่หดหายไป และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทุกวัน
หากย้อนกลับไปในอดีต ธุรกิจร้านอาหารเคยเป็นหนึ่งในธุรกิจยอดนิยมที่คนอยากลงทุนมากที่สุด รองจากร้านคาเฟ่ เนื่องจากดูเหมือนจะเป็นธุรกิจที่เริ่มต้นได้ง่าย เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานที่คนต้องการทุกวัน คือ อาหาร หลายคนเชื่อว่าหากร้านใดมีรสชาติดี บริการดีเยี่ยม ลูกค้าย่อมกลับมาใช้บริการอีก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความจริงที่โหดร้ายก็เผยออกมาว่า ธุรกิจร้านอาหารไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และการอยู่รอดได้นั้นยากยิ่งกว่าที่จินตนาการ จนมีคำพูดที่เล่าต่อกันว่า "ถ้าเราเกลียดใคร ก็แค่บอกให้เขาไปทำธุรกิจร้านอาหาร"
ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจ ทำร้านอาหารแทบไม่หายใจ
ปี 2568 นี้ ความท้าทายของผู้ประกอบการร้านอาหารยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัจจัยกดดันหลายด้านพร้อมกัน ทั้งการแข่งขันที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่ต้องระมัดระวังการใช้เงินมากขึ้น
ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ หลายร้านเริ่มประสบปัญหายอดขายสาขาเดิมลดลง กำไรหดหายไป ในขณะที่ต้นทุนการดำเนินธุรกิจกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บางร้านทนแรงกดดันไม่ไหว จนต้องจำใจปิดกิจการไปในที่สุด
สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ธุรกิจร้านอาหารไม่ได้แข่งขันกันเพียงแค่เรื่องรสชาติ การบริการ หรือบรรยากาศภายในร้านเท่านั้น แต่ต้องแข่งขันในมิติใหม่ คือ การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ศูนย์วิจัยเผยแนวโน้มการเติบโตต่ำสุดในรอบหลายปี
ตามข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 จะเติบโตเพียงแค่ 3% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ สาเหตุหลักมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
กำลังซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบันถูกกดดันจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะค่าครองชีพที่สูงขึ้น และภาระหนี้สินที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ภาระหนี้ครัวเรือนในไทยอยู่ที่ 40% ของรายได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมากและส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจใช้จ่ายของประชาชน
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเพียง 1.1% ในปีนี้ เนื่องจากผู้บริโภคมีการปรับลดค่าใช้จ่าย หรือลดความถี่ในการรับประทานอาหารนอกบ้าน
ต้นทุนพุ่ง กำไรร่วง สถานการณ์เลวร้ายทุกด้าน
นอกจากปัญหายอดขายที่ถูกกดดันแล้ว ธุรกิจร้านอาหารยังต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านต้นทุนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างต้นทุนของร้านอาหารโดยเฉลี่ยประกอบด้วย:
- ค่าแรงพนักงาน คิดเป็นประมาณ 15% ของต้นทุนรวม ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและต้นทุนสวัสดิการ
- ค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่า รวมกันมากกว่า 20% โดยเฉพาะค่าเช่าพื้นที่ในทำเลดีที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ
- ราคาวัตถุดิบอาหาร สูงถึงประมาณ 35% และยังมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ทั้งสภาพอากาศ ราคาน้ำมัน และสถานการณ์การค้าโลก
เมื่อรวมกันแล้ว ต้นทุนเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของต้นทุนรวมทั้งหมด สำหรับร้านที่เปิดในห้างสรรพสินค้าอาจมีต้นทุนสูงกว่านี้ เนื่องจากค่าเช่าและค่าบริการต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น หรือร้านที่ขายผ่านแพลตฟอร์มส่งอาหาร (Delivery) ก็จะถูกหักค่าคมมิชชั่นที่ทำให้กำไรลดลงอีก
แบรนด์ใหญ่ยังเหนื่อย ตัวเลขไตรมาสแรกเผยความจริงโหดร้าย
สถานการณ์ความท้าทายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับร้านอาหารขนาดเล็กหรือรายย่อยเท่านั้น แต่แม้แต่เชนร้านอาหารใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงและฐานลูกค้าแข็งแกร่งก็ประสบกับปัญหาเดียวกัน
MK เรสโตรองต์ กรุ๊ป - ผู้นำที่กำลังโซเซ
บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านอาหารของไทยมายาวนาน ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่ไม่เคยพบมาก่อน
ในไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทรายงานรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 3,541 ล้านบาท ลดลง 10.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 3,946 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิลดลงอย่างรุนแรง 32.6% จาก 347 ล้านบาท เหลือเพียง 234 ล้านบาท
ที่น่าวิตกมากคือยอดขายต่อสาขาเดิม (Same Store Sales Growth: SSSG) ของ MK ลดลงถึง 10.5% ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอลง และพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ระมัดระวังมากขึ้น
บริษัทระบุว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ ได้แก่ ภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ลูกค้าต้องจับจ่ายอย่างระมัดระวัง การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารที่รุนแรงขึ้น และต้นทุนวัตถุดิบบางประเภทที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
ZEN คอร์ปอเรชั่น - ปรับโครงสร้างเพื่อความอยู่รอด
บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เจอแรงกดดันในปีนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,005 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 1,019 ล้านบาท
แต่เมื่อมองเฉพาะรายได้จากธุรกิจร้านอาหาร พบว่าอยู่ที่ 727 ล้านบาท หรือลดลง 9.8% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากยอดขายร้านอาหารที่ลดลง เนื่องจากกำลังซื้อของลูกค้าหดตัว และการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงขึ้น มีแบรนด์ใหม่ๆ เปิดมากขึ้นทุกวัน
ZEN กำลังพยายามปรับโครงสร้างรายได้ให้ไม่พึ่งพาธุรกิจร้านอาหารเพียงอย่างเดียว โดยเพิ่มรายได้จากธุรกิจผลิตและจัดจำหน่าย ซึ่งในไตรมาสนี้มีรายได้ตรงนี้อยู่ที่ 226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากการขยายช่องทางขาย การเพิ่มชนิดของผลิตภัณฑ์ และการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่
แสงสว่างท่ามกลางความมืด - ร้านที่ยังเติบโตได้
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายของสมรภูมิธุรกิจร้านอาหาร ก็ยังมีบางบริษัทที่สามารถเติบโตสวนทางกับตลาดได้อย่างน่าสนใจ
โอ้กะจู๋ - การขยายตัวที่มาจากสาขาใหม่
บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เจ้าของร้าน "โอ้กะจู๋" เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ยังเติบโตได้ในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยมีรายได้ 708.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.9% และกำไรสุทธิ 63.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.7%
อย่างไรก็ดี ต้องสังเกตว่าร้านโอ้กะจู๋มีอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) เพียง 0.1% หรือแทบไม่โตเลย ดังนั้นเบื้องหลังการเติบโตของบริษัทคือการขยายสาขาใหม่ ซึ่งบริษัทมีร้านโอ้กะจู๋เพิ่มขึ้น 7 สาขา รวมถึงการเปิดแบรนด์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าและช่องทางรายได้
มากุโระ กรุ๊ป - ประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน
บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเติบโตในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 414.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.8% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 32.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.5%
บริษัทระบุว่าเบื้องหลังการเติบโตมาจากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมจำนวน 14 สาขา ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง และมีการเน้นกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain Optimization) เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
สตาร์ใหม่นอกตลาดหุ้น - การเติบโตแบบก้าวกระโดด
นอกจากธุรกิจร้านอาหารในตลาดหุ้นแล้ว ยังมีธุรกิจนอกตลาดหุ้นบางรายที่เติบโตได้อย่างโดดเด่นและน่าจับตามอง
สุกี้ตี๋น้อย - จากร้านเล็กสู่จักรวรรดิ
บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแบรนด์ "สุกี้ตี๋น้อย" เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเติบโตแบบก้าวกระโดด:
- ปี 2565: รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท
- ปี 2566: รายได้ 5,262 ล้านบาท กำไร 907 ล้านบาท
- ปี 2567: รายได้ 7,075 ล้านบาท กำไร 1,169 ล้านบาท
การเติบโตของสุกี้ตี๋น้อยสะท้อนถึงความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทั้งในด้านรสชาติ ราคา และการให้บริการ
Lucky Suki และ Lucky BBQ - ปรากฏการณ์เติบโตระเบิด
บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของแบรนด์ "Lucky Suki" และ "Lucky BBQ" ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเติบโตที่น่าทึ่ง:
- ปี 2565: รายได้ 80 ล้านบาท กำไร 3 ล้านบาท
- ปี 2566: รายได้ 409 ล้านบาท กำไร 46 ล้านบาท
- ปี 2567: รายได้ 1,015 ล้านบาท กำไร 108 ล้านบาท
การเติบโตของ Lucky Suki และ Lucky BBQ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ที่ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องความคุ้มค่า
เทรนด์บุฟเฟต์ - ความคุ้มค่าในยุคเศรษฐกิจชะลอ
ตามการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย แม้ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารจะเติบโตในอัตราที่ชะลอลง แต่กลุ่มร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่มองเรื่องความคุ้มค่าเป็นหลัก
ในยุคที่ผู้บริโภคต้องระมัดระวังการใช้จ่าย ร้านบุฟเฟต์ที่เสนอการรับประทานอาหารไม่จำกัดในราคาคงที่จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะให้ความรู้สึกของความคุ้มค่าและการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
กลยุทธ์การอยู่รอด - บทเรียนจากผู้ที่ประสบความสำเร็จ
จากการศึกษาร้านอาหารที่ยังสามารถเติบโตได้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย พบว่ามีกลยุทธ์หลักๆ ที่น่าสนใจ:
การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
ร้านที่ประสบความสำเร็จมักมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ทั้งการเจรจาราคาวัตถุดิบ การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการลดความสูญเสียในครัว
การปรับเมนูให้เหมาะสมกับกำลังซื้อ
หลายร้านเริ่มปรับโครงสร้างราคาและขนาดของเมนู ให้เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเน้นความคุ้มค่าและความอิ่มท้อง
การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการคำสั่งซื้อ การควบคุมสต็อก และการบริการลูกค้า ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
การสร้างความแตกต่าง
ร้านที่ประสบความสำเร็จมักมีจุดขายที่ชัดเจนและแตกต่างจากคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นรสชาติเฉพาะตัว บรรยากาศพิเศษ หรือรูปแบบการให้บริการที่เป็นเอกลักษณ์
อนาคตของธุรกิจร้านอาหารไทย - ปรับตัวหรือตาย
สถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจร้านอาหารในไทยเป็นเสมือนจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แบ่งแยกผู้ประกอบการออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน กลุ่มหนึ่งคือผู้ที่สามารถปรับตัวและพัฒนาไปได้ ส่วนอีกกลุ่มคือผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวและอาจต้องออกจากตลาด
ท่ามกลางยุคที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน เทรนด์เปลี่ยนเร็ว คู่แข่งใหม่ปรากฏขึ้นทุกวัน และต้นทุนต่างๆ สูงขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคกลับเริ่มประหยัดและใช้จ่ายน้อยลง ทำให้แม้แต่แบรนด์ใหญ่ที่เคยเป็นผู้นำในตลาดมายาวนาน หรือร้านอาหารรายย่อยที่เคยมีลูกค้าเหนียวแน่น ต่างต้องเผชิญความท้าทายและต้องรื้อตำราเก่าออกไป
การอยู่รอดและเติบโตในตลาดร้านอาหารยุคใหม่ ต้องอาศัยมากกว่าแค่รสชาติดีและบริการดี แต่ต้องมีการบริหารจัดการที่ชาญฉลาด การปรับตัวที่รวดเร็ว และการเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร ปี 2568 นี้จะเป็นปีแห่งการทดสอบความสามารถในการปรับตัว ผู้ที่สามารถผ่านพ้นความท้าทายนี้ไปได้ จะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและมีความยั่งยืนในระยะยาว ส่วนผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน อาจต้องพิจารณาปรับแผนธุรกิจ หรือในบางกรณีอาจต้องถอนตัวออกจากตลาดไป
ธุรกิจร้านอาหารไทยกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ ความยืดหยุ่น และความเข้าใจตลาดมากกว่าที่เคย ผู้ที่จะประสบความสำเร็จคือผู้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับลูกค้าในยุคที่ทุกคนต้องคิดให้รอบคอบก่อนจับจ่ายใช้สอย