ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มของไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 2568 เมื่อต้องรับมือกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็ยังพบโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากเทรนด์การบริโภคที่หลากหลายมากขึ้น
ตลาดร้านอาหารไทยปรับลดคาดการณ์การเติบโต เหลือเพียง 2.8%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับลดประเมินการณ์มูลค่าตลาดร้านอาหารและเครื่องดื่มในปี 2568 ให้อยู่ที่ 646,000 ล้านบาท ด้วยอัตราการเติบโตเพียง 2.8% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งเป็นการปรับลดจากคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจะเติบโต 4.6% หรือมีมูลค่าถึง 657,000 ล้านบาท
การปรับลดคาดการณ์ครั้งนี้เกิดจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ประการแรกคือสภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตชะลอลง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและค่าใช้จ่ายในร้านอาหาร ประการที่สองคือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มไม่เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 11 พฤษภาคม 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวไทยหดตัวลง 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 12.9 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะลดลงต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจร้านอาหารที่พึ่งพานักท่องเที่ยวเป็นลูกค้าหลัก
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตยังคงมีอยู่
แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังคงมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคไทยที่คุ้นเคยกับการรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น รวมถึงแนวโน้มการสั่งอาหารมาทานที่บ้านผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การเข้ามาของร้านอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ใหม่ที่มีแนวคิดสร้างสรรค์และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ก็ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาด รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการให้บริการที่ทำให้การเข้าถึงลูกค้าง่ายและสะดวกมากขึ้น
ผู้ประกอบการยังให้ความสนใจลงทุนต่อเนื่อง แม้ตลาดชะลอตัว
สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ตลาดจะมีการเติบโตที่ชะลอลง แต่ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็กยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารญี่ปุ่นและตลาดพรีเมี่ยมที่ยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุน
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 มีธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่จำนวน 973 ราย แม้ว่าจะลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2567 แต่ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังคงเป็นธุรกิจที่มีการเปิดใหม่มากที่สุด ติดอันดับ 1 ใน 5 ของกิจการที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ในทุกปี
คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วประเทศมากกว่า 6.9 แสนร้าน โดยไม่นับรวมร้านข้างทางที่เป็นรถเข็น ไม่มีหน้าร้าน หรือที่ตั้งถาวร รวมถึงร้านฟู้ดทรัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหนาแน่นและความหลากหลายของธุรกิจประเภทนี้ในประเทศไทย
กรุงเทพฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางการลงทุนร้านอาหาร
การลงทุนเปิดร้านอาหารส่วนใหญ่ยังคงมีความเข้มข้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางธุรกิจสูงและมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลาย ข้อมูลจาก LINE MAN Wongnai พบว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 พื้นที่กรุงเทพมหานครมีร้านอาหารเปิดใหม่เพิ่มขึ้น 4.8% จากสิ้นปี 2567
เขตที่มีการกระจุกตัวสูงของร้านอาหารและเครื่องดื่ม 5 อันดับแรก ได้แก่ เขตจตุจักร เขตปทุมวัน เขตประเวศ เขตพระนคร และเขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง มีศูนย์การค้า สำนักงาน และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ
นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว จังหวัดที่มีกิจกรรมการท่องเที่ยวสูงก็ยังคงเห็นการเปิดตัวของร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ อาทิ จังหวัดชลบุรี เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเดินทางไปเยือนเป็นจำนวนมาก
การแข่งขันสูงบีบให้ผู้ประกอบการปรับตัว
ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดร้านอาหารทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องปรับโมเดลการทำธุรกิจและสร้างแบรนด์ใหม่ หรือทำการรีแบรนด์เดิม เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ตอบโจทย์กับเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
การแข่งขันในธุรกิจที่รุนแรงนี้ ส่งผลให้มีผู้ประกอบการที่จำต้องปิดสาขา หรือปิดกิจการจำนวนไม่น้อยเช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจในสภาวะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงและต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้น
ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในช่วงนี้จึงเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวได้เร็ว เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และสามารถสร้างจุดแตกต่างที่ชัดเจนให้กับแบรนด์ของตน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการและการตลาด
ร้านอาหารจีนนำทีมการลงทุนจากต่างชาติ
แนวโน้มการลงทุนจากชาวต่างชาติในธุรกิจร้านอาหารไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 พบว่ามูลค่าทุนจดทะเบียนธุรกิจร้านอาหารจากชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นกว่า 542 ล้านบาทจากสิ้นปี 2567
ที่น่าสนใจคือร้านอาหารจีนมีการลงทุนเพิ่มขึ้นมากที่สุด และมีมูลค่าการจดทะเบียนสะสมสูงสุดเช่นกัน ตามมาด้วยร้านอาหารญี่ปุ่นและอินเดีย การเข้ามาลงทุนของร้านอาหารต่างชาติเหล่านี้มีทั้งในรูปแบบการร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการไทย และการซื้อแฟรนไชส์
ร้านอาหารแบรนด์ต่างประเทศที่เข้ามาทำตลาดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีทั้งร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงเบเกอรี่จากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ซึ่งแต่ละแบรนด์ต่างก็นำเอาเอกลักษณ์และวัฒนธรรมการทำอาหารของประเทศตนมาเผยแพร่ในตลาดไทย
เทรนด์ร้านอาหาร Contemporary Casual เป็นที่นิยม
ศูนย์วิจัยกสิกรระบุว่า เทรนด์การลงทุนร้านอาหารในปี 2568 จะเป็นร้านอาหารและเครื่องดื่มรูปแบบร่วมสมัย (Contemporary Casual) ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก การจัดรูปแบบร้านอาหารแนวมินิมอล การสร้างประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์ และการผสมผสานวัฒนธรรมผ่านการประยุกต์ใช้วัตถุดิบอาหารจากท้องถิ่น
กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่เป็นผู้ขับเคลื่อนเทรนด์นี้เป็นหลัก โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็น Gen Z ที่มีความต้องการประสบการณ์การรับประทานอาหารที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการถ่ายภาพและแบ่งปันประสบการณ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
ร้านอาหารกลุ่มนี้มักจะเน้นการสร้างบรรยากาศที่ทันสมัย ใช้แสงสีและการตกแต่งที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพ รวมถึงการออกแบบเมนูที่มีความคิดสร้างสรรค์และการนำเสนอที่สวยงาม เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์รวมมากกว่าเพียงแค่รสชาติอาหาร
ตลาด Premium Casual เติบโตแข็งแกร่ง
เทรนด์ร้านอาหารกลุ่มราคาระดับกลาง-บน หรือ Premium Casual ที่จับกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง ด้วยราคาเฉลี่ยประมาณ 500 บาทต่อจานขึ้นไป พบว่ามีการเปิดตัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นที่ต้องการหลีกเลี่ยงการแข่งขันในตลาด Mass Market ที่มีการแข่งขันด้านราคาสูง
ร้านอาหารกลุ่มนี้เน้นการให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบที่พรีเมี่ยม เทคนิคการทำอาหารที่สร้างสรรค์และมีความซับซ้อน รวมถึงการให้บริการที่มีมาตรฐานสูง เพื่อสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่คุ้มค่ากับราคาที่จ่าย
กลุ่มลูกค้าของร้านอาหาร Premium Casual มักเป็นผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ และยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ดี รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยและต้องการลิ้มลองอาหารไทยคุณภาพสูง
ร้านสตรีตฟู้ดยังคงโตแกร่งท่ามกลางความท้าทาย
ในส่วนของการแบ่งประเภทตลาดร้านอาหาร ศูนย์วิจัยกสิกรระบุว่า เฉพาะตลาด "ร้านอาหาร" ในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ราว 562,000 ล้านบาท เติบโต 3% จากปี 2567
ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 1.1% หรือมีมูลค่า 209,000 ล้านบาท แต่กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากผู้บริโภคมีการปรับลดค่าใช้จ่าย หรือลดความถี่ในการทานอาหารนอกบ้าน ขณะที่กลุ่มร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่มองในเรื่องความคุ้มค่า
ร้านอาหาร "สตรีตฟู้ด" ที่มีหน้าร้านคาดว่าจะเติบโต 4.7% จากปี 2567 หรือมีมูลค่า 261,000 ล้านบาท ยังมีแนวโน้มการเติบโตสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ เนื่องจากเป็นร้านอาหารต้นตำรับที่เปิดมานานและมีเอกลักษณ์เฉพาตัว สามารถรักษากระแสนิยมได้อย่างต่อเนื่อง
ความแข็งแกร่งของร้านสตรีตฟู้ดมาจากการที่เป็นเมนูพื้นฐานที่เข้าถึงได้ง่ายและมีราคาไม่สูง ประกอบกับได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติที่มองหาประสบการณ์การรับประทานอาหารไทยแท้ๆ รวมถึงการทำการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่ช่วยหนุนร้านอาหารกลุ่มนี้ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ร้านอาหารบริการจำกัดและร้านเครื่องดื่มยังเติบโต
ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด (Quick Service Restaurants) คาดว่าจะเติบโต 2.7% หรือมีมูลค่า 92,000 ล้านบาท การเติบโตนี้มาจากการขยายสาขาของกลุ่มไก่ทอดและพิซซ่า รวมถึงร้านอาหาร Full Service ที่ได้ปรับรูปแบบการให้บริการมาเป็นแบบ Quick Service เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
ร้านเครื่องดื่ม รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม คาดว่าในปีนี้จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 84,200 ล้านบาท เติบโต 1.9% การเติบโตส่วนหนึ่งมาจากการขยายสาขาของทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็กที่ยังมีการเปิดร้านใหม่ รวมถึงการขยายแฟรนไชส์ร้านเครื่องดื่มของแบรนด์ต่างชาติที่เข้ามาทำตลาดในไทยมากขึ้น
กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพพรีเมี่ยมเป็นอีกหนึ่งเซกเมนต์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น และยินดีจ่ายเงินเพิ่มเติมสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ปัจจัยเสี่ยงที่ท้าทายผู้ประกอบการ
ศูนย์วิจัยกสิกรระบุว่า ต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของปี 2568 โดยค่าแรงงานที่มีสัดส่วนประมาณ 15% ของต้นทุนรวม ขณะที่ค่าสาธารณูปโภคและค่าเช่าสถานที่มีสัดส่วนรวมกันกว่า 20% ของต้นทุนรวม
ต้นทุนที่สำคัญที่สุดคือราคาวัตถุดิบอาหาร ซึ่งคิดเป็นประมาณ 35% ของต้นทุนรวม ยังคงมีทิศทางที่ผันผวนและทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ นโยบายภาษีจากสงครามการค้าระหว่างประเทศต่างๆ ก็ทำให้ราคาสินค้าบางประเภทสูงขึ้น
ราคาวัตถุดิบในประเทศหลายรายการได้ปรับขึ้น อาทิ ไข่ไก่และเนื้อหมูสด ขณะที่กลุ่มวัตถุดิบอาหารที่ต้องนำเข้า เช่น นมผง เนย ชีส แป้งสาลี โกโก้ และเมล็ดกาแฟ แม้จะปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปี 2568 แต่ราคายังคงผันผวนในระดับสูง ทำให้กลุ่มร้านเครื่องดื่ม ร้านเบเกอรี่ และอาหารตะวันตกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก
ความท้าทายจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ซับซ้อน
พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น โดย 5 ปัจจัยสำคัญที่ได้กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของผู้บริโภค ได้แก่ "ความแปลกใหม่ + ประสบการณ์ + คุณภาพ + สุขภาพ + ราคาสมเหตุสมผล"
เทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ความจงรักภักดีต่อแบรนด์อยู่ในระดับต่ำ และมีการเปลี่ยนแปลงตามกระแสอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีความสามารถในการปรับรูปแบบธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการประสบการณ์ที่ครบครันในการรับประทานอาหาร ไม่เพียงแต่รสชาติที่อร่อย แต่รวมถึงบรรยากาศร้าน การให้บริการ การนำเสนออาหาร และความคุ้มค่าของเงินที่จ่าย รวมถึงความสามารถในการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจสำหรับการแบ่งปันในสื่อสังคมออนไลน์
โจทย์ความท้าทายในการรักษาผลกำไร
ตลาดร้านอาหารเป็นตลาดที่เข้าง่ายแต่แข่งขันสูง เนื่องจากมีผู้ให้บริการจำนวนมาก การรักษาผลกำไรของธุรกิจให้ได้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ
ผู้ประกอบการต้องหาสมดุลระหว่างการรักษาคุณภาพอาหารและบริการ กับการควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างนวัตกรรมและการบริการที่แตกต่างเพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นระบบการสั่งอาหาร การจัดการสต๊อก การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการทำการตลาดออนไลน์ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้ความสำคัญ
แนวโน้มและโอกาสในอนาคต
แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ธุรกิจร้านอาหารไทยยังคงมีโอกาสการเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะจากการที่ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก และมีวัฒนธรรมอาหารที่หลากหลายและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
การพัฒนาอาหารไทยให้เป็น Soft Power ของประเทศ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร และการขยายตลาดอาหารไทยไปยังต่างประเทศ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
ผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตจะต้องเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวได้เร็ว เข้าใจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ และสามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการและการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน