Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

Notifications
Clear all

ดูหนัง Parasite (2019) ชนชั้นปรสิต

1 Posts
1 Users
0 Reactions
36 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 4406
Illustrious Member
Topic starter
 

ปรสิตแห่งความเหลื่อมล้ำ: บทวิเคราะห์เชิงลึกภาพยนตร์ Parasite (2019)

หมายเหตุ: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์อย่างมาก แนะนำให้รับชมภาพยนตร์ก่อนอ่านบทความนี้

ประวัติศาสตร์บนเวทีออสการ์

"Parasite" หรือ "ชนชั้นปรสิต" ภาพยนตร์จากเกาหลีใต้ที่กำกับโดยบงจุนโฮ ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการภาพยนตร์โลกด้วยการคว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2019 นับเป็นครั้งแรกในรอบ 92 ปีของการประกาศรางวัลที่ภาพยนตร์ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษคว้ารางวัลสูงสุดนี้ไปครอง ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับภาพยนตร์เอเชียบนเวทีโลก แต่ยังเป็นการพิสูจน์ว่าเรื่องราวที่มีความเป็นสากลสามารถเข้าถึงผู้ชมทั่วโลกได้แม้จะมีอุปสรรคทางด้านภาษา

โครงสร้างภาพยนตร์ที่แบ่งเป็นสองส่วนชัดเจน

หนึ่งในความน่าทึ่งของ Parasite คือโครงสร้างของเรื่องที่แบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ในแง่ของการเล่าเรื่อง แต่ยังรวมถึงการจัดวางบทอย่างละเอียด บทภาพยนตร์ที่มีความยาว 142 หน้าถูกแบ่งครึ่งอย่างลงตัว โดยจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องคือเหตุการณ์ "ดิ้งด่อง" เมื่อแม่บ้านคนเก่ากดกริ่งเพื่อขอเข้าบ้าน ปรากฏพอดีที่หน้าที่ 71 ซึ่งเป็นการแบ่งครึ่งบทอย่างสมบูรณ์แบบ

ในส่วนแรกของภาพยนตร์ เราได้เห็นครอบครัวคิมที่ยากจน ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน วางแผนอย่างแยบยลเพื่อแทรกซึมเข้าไปทำงานในบ้านของตระกูลปาร์คผู้ร่ำรวย พวกเขาค่อยๆ กำจัดคนรับใช้คนเดิมทีละคนและเข้าไปแทนที่ จนกระทั่งยึดบ้านได้สำเร็จในช่วงที่ครอบครัวปาร์คไปตั้งแคมป์ ขณะที่กำลังเสพสุขกับความสำเร็จและความหรูหราของบ้าน เสียงกริ่งประตูจากแม่บ้านคนเก่าก็ดังขึ้น นำพาผู้ชมเข้าสู่ภาคที่สองของภาพยนตร์

ส่วนที่สองเปิดเผยความจริงที่น่าตกใจว่ามีอีกหนึ่ง "ปรสิต" แฝงตัวอยู่ในบ้านหลังนี้มานาน นั่นคือสามีของแม่บ้านคนเก่าที่หลบซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินลับเพื่อหนีเจ้าหนี้นอกระบบ เหตุการณ์นี้นำไปสู่ความวุ่นวายและการเผชิญหน้าของตัวละครทั้งหมด ก่อนจะคลี่คลายในตอนจบที่โหดร้ายและขมขื่น

ใครคือปรสิตที่แท้จริง?

หนึ่งในประเด็นที่ถูกถกเถียงมากที่สุดคือคำถามที่ว่า "ใครคือปรสิตที่แท้จริงในเรื่อง?" มีการตีความที่หลากหลาย:

  1. ครอบครัวคิม - อาจถูกมองว่าเป็นปรสิตเพราะแทรกซึมเข้าไปในบ้านของคนรวยและเกาะกินทรัพยากรของพวกเขา

  2. ครอบครัวปาร์ค - แม้จะดูเป็นเหยื่อในเบื้องต้น แต่พวกเขาก็เกาะกินแรงงานของคนจนและใช้ความมั่งคั่งเพื่อแสวงประโยชน์จากคนที่ด้อยกว่า

  3. ครอบครัวที่อยู่ใต้ดิน - พวกเขาซ่อนตัวและอาศัยทรัพยากรของบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต

  4. ความหวัง - มุมมองที่น่าสนใจที่สุดคือการตีความว่าปรสิตที่แท้จริงคือ "ความหวัง" ที่คนจนมีต่อการเลื่อนชั้นทางสังคม ซึ่งถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ของก้อนหินที่ลูกชายบ้านยากจนพกติดตัวไว้ตลอด ก้อนหินที่เป็นของขวัญจากเพื่อน เป็นตัวแทนของความหวังที่จะยกระดับฐานะ แต่ในตอนท้าย ก้อนหินเดียวกันนี้กลับเป็นสาเหตุของการบาดเจ็บทางสมองของเขา เปรียบเสมือนความหวังลวงที่ทำร้ายชีวิตของคนที่เชื่อมั่นในมัน

การแบ่งแยกชนชั้นที่เด่นชัด

ภาพยนตร์แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นผ่านสัญลักษณ์และเหตุการณ์ต่างๆ อย่างชัดเจน:

เส้นที่ไม่ควรข้าม

คุณพาร์คมักพูดถึง "เส้น" ที่ลูกจ้างไม่ควรข้าม แม้กระทั่งกลิ่นตัวของคนใช้ก็ไม่ควรล่วงล้ำมาถึงจมูกของเขา แต่ในขณะเดียวกัน ครอบครัวที่ร่ำรวยกลับล้ำเส้นคนจนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกให้มาทำงานในวันหยุด หรือให้เตรียมอาหารในเวลากระชั้นชิด โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของอีกฝ่าย

ฝนที่ตก - สุขกับทุกข์

เหตุการณ์พายุฝนที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างชนชั้นอย่างชัดเจน สำหรับครอบครัวปาร์ค พายุเพียงทำให้พวกเขาต้องยกเลิกการปิกนิก แต่กลับได้จัดปาร์ตี้ในบ้านแทน คุณนายปาร์คถึงกับพูดว่า "ฝนที่ตกทำให้ฝุ่นหายไป และพวกเราได้มาจัดปาร์ตี้" ในขณะที่สำหรับครอบครัวคิม พายุเดียวกันนี้นำมาซึ่งความหายนะ บ้านของพวกเขาถูกน้ำท่วม ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลาย และพวกเขาต้องหลบภัยในศูนย์อพยพ

ความจนในสายตาของคนรวย - "ผี"

หนึ่งในฉากที่น่าสนใจคือตอนที่ลูกชายคนเล็กของบ้านปาร์คบอกว่าเห็น "ผี" ขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน ซึ่งแท้จริงแล้วคือชายที่อาศัยอยู่ที่นั่น The Take วิเคราะห์ว่านี่เป็นวิธีที่ผู้กำกับสื่อว่า คนรวยมักอธิบายความยากจนให้ลูกหลานของตนฟังอย่างง่ายๆ โดยไม่พูดถึงความเหลื่อมล้ำหรือการเอารัดเอาเปรียบ แต่มองคนจนเป็นเพียง "ผี" หรือสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นวิธีที่พวกเขาเลือกที่จะไม่มองเห็นความทุกข์ยากของคนอื่น

บทสรุปอันขมขื่นและความจริงอันโหดร้าย

ตอนจบของ Parasite นำเสนอความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม:

564 ปีแห่งการไต่เต้า

เพลงประกอบภาพยนตร์ "Soju One Glass" ที่เล่นในฉากท้ายมีเนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวว่า "ด้วยทักษะชีวิตที่มีอยู่ตอนนี้ คิวู (ลูกชายบ้านจน) จะต้องใช้เวลาถึง 564 ปีเพื่อหาเงินไปซื้อบ้านของตระกูลคนรวย" นี่เป็นการตอกย้ำความเป็นไปไม่ได้ของการเลื่อนชั้นทางสังคม ถึงแม้ในตอนท้ายคิวูจะเขียนจดหมายว่าวันหนึ่งเขาจะเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านหลังนั้น แต่ผู้กำกับก็ตัดภาพไปที่เขาในบ้านเก่าโทรม เป็นการทำลายความหวังและความฝันที่ว่าคนจนจะสามารถไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จได้ในชั่วชีวิต

โครงสร้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง

แม้ว่าในตอนจบ ตระกูลปาร์คจะไม่สามารถอยู่ในบ้านหลังเดิมได้อีกต่อไป และชายที่อยู่ใต้ดินจะถูกฆ่าตาย แต่สุดท้ายก็มีครอบครัวร่ำรวยครอบครัวใหม่เข้ามาอยู่แทนที่ และมีคนจนคนใหม่มาซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน สื่อให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคล แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในสังคม "เปลี่ยนคนเดิมออกไป คนใหม่ก็มาแทนที่" วงจรแห่งความเหลื่อมล้ำดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

การกำจัดผู้ท้าทาย

การที่ผู้กำกับเลือกให้ลูกสาวของครอบครัวคิมต้องเสียชีวิต ทั้งที่เธอเป็นคนที่มีศักยภาพมากที่สุดในการพัฒนาตนเองและมีโอกาสที่จะเลื่อนชั้นทางสังคม ก็เป็นการสื่อว่าในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้ที่มีความสามารถและอาจท้าทายชนชั้นสูงได้ มักถูกกำจัดไปก่อน

เกร็ดน่ารู้

น่าสนใจที่ชื่อภาพยนตร์ที่ผู้กำกับต้องการใช้ในตอนแรกคือ "Parasites" (เติม s เป็นพหูพจน์) เพื่อสื่อความหมายว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นปรสิตแต่เพียงผู้เดียว ทุกคนต่างเกาะกินซึ่งกันและกันเป็นทอดๆ เป็นการสะท้อนความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นในสังคม แต่การใช้ชื่อนี้อาจเป็นการเปิดเผยแก่นของเรื่องมากเกินไป

Parasite ไม่เพียงแต่เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นงานศิลปะที่ท้าทายผู้ชมให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับโครงสร้างสังคมและความเหลื่อมล้ำที่ดำรงอยู่ในโลกปัจจุบัน บทสรุปอันขมขื่นของภาพยนตร์อาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชมต้องการ แต่เป็นการนำเสนอความจริงที่โหดร้ายของสังคมที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งความฝันและความพยายามของปัจเจกบุคคลอาจไม่เพียงพอที่จะเอาชนะระบบที่ถูกออกแบบมาให้รักษาสถานะเดิมไว้

This topic was modified 4 weeks ago by supachai
 
Posted : 18/04/2025 10:44 pm
Share: