Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

Notifications
Clear all

ดูหนัง A Complete Unknown (2024)

1 Posts
1 Users
0 Reactions
30 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 4406
Illustrious Member
Topic starter
 

A Complete Unknown (2024): เมื่อวัฒนธรรมดนตรีเปลี่ยนโลก

ในโลกของภาพยนตร์ชีวประวัติ เรื่องราวชีวิตของคนดังมักถูกบอกเล่าผ่านสูตรสำเร็จที่คุ้นเคย—เด็กธรรมดาที่มีพรสวรรค์พิเศษ ต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค ก้าวสู่ความสำเร็จ และอาจจบลงด้วยความตกต่ำหรือการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ "A Complete Unknown" ผลงานกำกับของ James Mangold ไม่ได้เดินตามรอยนั้น เช่นเดียวกับตัวละครหลักที่ภาพยนตร์พยายามถ่ายทอด—บ็อบ ดีแลน—ภาพยนตร์เรื่องนี้หลีกเลี่ยงความคาดหมาย เล่าเรื่องด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา และท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับการเล่าเรื่องชีวิตของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์

การเดินทางของศิลปินผู้ไม่ยอมจำนน

"A Complete Unknown" เปิดเรื่องด้วยภาพของ Woody Guthrie (รับบทโดย Scooter McNairy) ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญของดีแลนวัยหนุ่ม กำลังนอนป่วยในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในนิวเจอร์ซีย์ เขาได้รับการเยี่ยมจาก Pete Seeger (แสดงโดย Edward Norton ในบทบาทที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง) พร้อมกับดีแลนวัย 20 ปี (รับบทโดย Timothée Chalamet) ฉากเริ่มต้นนี้เป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างเพลงพื้นบ้านที่มีมายาวนานกับอนาคตอันไม่แน่นอนที่ดีแลนกำลังจะก้าวเข้าไป

ภาพยนตร์ติดตามช่วงเวลาสำคัญในช่วงต้นอาชีพของดีแลน ตั้งแต่การเดินทางมาถึงนิวยอร์กในปี 1961 จนถึงการแสดงอันเป็นตำนานที่เทศกาลดนตรีนิวพอร์ตในปี 1965 ที่เขาเปลี่ยนจากนักร้องเพลงพื้นบ้านมาเล่นดนตรีร็อคพร้อมกับวงดนตรีไฟฟ้า—ช่วงเวลาที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ดนตรีตลอดกาล Mangold ไม่ได้เล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา แต่ถักทอภาพตัดของข่าว เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ และดนตรีเข้าด้วยกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าศิลปะของดีแลนเติบโตขึ้นภายใต้บริบททางสังคมและการเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในยุค 60

ดนตรีที่มีชีวิต ไม่ใช่แค่ซาวด์แทร็ก

จุดเด่นประการหนึ่งของภาพยนตร์คือการนำเสนอดนตรีแบบเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่เป็นเพลงประกอบหรือภาพตัดสั้นๆ เช่นที่มักพบในภาพยนตร์ชีวประวัตินักดนตรีทั่วไป เมื่อดีแลนแสดงเพลง "The Times They Are A-Changin'" เป็นครั้งแรก ภาพยนตร์ถ่ายทอดความรู้สึกตื่นเต้นและความสดใหม่ของช่วงเวลานั้น—ช่วงเวลาที่ผู้ชมได้ยินบทเพลงอันทรงพลังที่กลายเป็นเพลงประจำยุคสมัยเป็นครั้งแรก

Mangold สร้างภาพที่มีพลังในฉากที่ดีแลนเล่นเพลง "Masters of War" ในคลับเล็กๆ ขณะที่วิกฤตขีปนาวุธคิวบากำลังคุกคามโลก ภาพของคนนิวยอร์กที่หวาดกลัวกำลังมองหาที่หลบภัยจากอาร์มาเกดดอนที่อาจเกิดขึ้น ผสานกับเนื้อเพลงอันเผ็ดร้อนที่วิพากษ์ผู้มีอำนาจ สร้างบริบทที่ทำให้เห็นว่าทำไมบทเพลงของดีแลนจึงสั่นสะเทือนใจคนรุ่นนั้นอย่างลึกซึ้ง

ตัวตนที่ลึกลับและสัมพันธภาพที่ซับซ้อน

ภาพยนตร์ไม่ได้พยายามไขความลับทั้งหมดเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของดีแลน แต่กลับเล่าเรื่องผ่านมุมมองของคนรอบข้างที่พยายามทำความเข้าใจเขา โดยเฉพาะผู้หญิงสองคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตเขาในช่วงเวลานั้น

Sylvie Russo (รับบทโดย Elle Fanning สร้างจากแรงบันดาลใจของ Suze Rotolo คนรักของดีแลนและหญิงสาวบนปกอัลบั้ม "The Freewheelin' Bob Dylan") และ Joan Baez (Monica Barbaro) นักร้องเพลงพื้นบ้านชื่อดังที่มีความสัมพันธ์ทั้งในฐานะคู่รักและพันธมิตรทางดนตรีกับดีแลน ผู้หญิงทั้งสองเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามในชีวิตของดีแลน—Sylvie ตัวแทนของความเรียบง่ายและความจริง ขณะที่ Baez คือโลกของดนตรีและชื่อเสียงที่ดีแลนกำลังจะก้าวเข้าไป

ความสัมพันธ์ของดีแลนกับ Johnny Cash (Boyd Holbrook) ก็ถูกถ่ายทอดอย่างน่าสนใจ Cash มองเห็นพรสวรรค์อันบริสุทธิ์ในตัวดีแลนและสนับสนุนเขาท่ามกลางความกดดันจากชื่อเสียงและความคาดหวังที่เพิ่มขึ้น เหมือนเป็นเสียงแห่งเหตุผลที่เข้าใจความยากลำบากของการเป็นศิลปินที่ไม่ยอมจำนนต่อกรอบเดิมๆ

การแสดงที่โดดเด่น

Timothée Chalamet ส่งมอบการแสดงที่น่าทึ่งในบทดีแลน เขาไม่เพียงเลียนแบบน้ำเสียงและท่วงทำนองการร้องได้อย่างแม่นยำ แต่ยังถ่ายทอดความซับซ้อนภายในของศิลปินผู้ไม่ยอมอยู่นิ่ง ความขัดแย้งระหว่างความปรารถนาที่จะเป็นตัวของตัวเองกับแรงกดดันจากชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้น และความไม่ลงรอยระหว่างภาพลักษณ์สาธารณะกับตัวตนที่แท้จริง

นักแสดงสมทบก็แจ้งเกิดไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ Monica Barbaro ในบท Joan Baez ที่แสดงให้เห็นทั้งความแข็งแกร่งและความเปราะบางของหญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ที่ต้องเผชิญกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับดีแลน และ Boyd Holbrook ในบท Johnny Cash ที่เล่นได้อย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง

ภาพและเสียงที่สอดประสาน

การถ่ายทำของ Phedon Papamichael จับภาพนิวยอร์กยุค 60 ได้อย่างมีชีวิตชีวา ทั้งความวุ่นวายของถนนในแมนฮัตตัน ควันบุหรี่ในคลับเพลงพื้นบ้าน และแสงไฟบนเวทีคอนเสิร์ต การตัดต่อแบบอินทรีย์ช่วยให้ภาพยนตร์ไหลลื่นระหว่างช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตของดีแลน โดยไม่ยึดติดกับการเล่าเรื่องตามลำดับเวลา

เสียงในภาพยนตร์สมจริงและทรงพลัง โดยเฉพาะฉากการแสดงดนตรีที่ถ่ายทอดทั้งพลังของดนตรีและปฏิกิริยาของผู้ชม ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเพลงของดีแลนจึงมีอิทธิพลต่อคนรุ่นนั้นอย่างมาก

มากกว่าเรื่องเล่าชีวประวัติ

"A Complete Unknown" ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของศิลปินคนหนึ่ง แต่เป็นภาพสะท้อนของยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลง—ยุคที่ศิลปะและการเมืองเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ยุคที่ความคิดเก่าๆ กำลังถูกท้าทาย และยุคที่เสียงของคนรุ่นใหม่กำลังเรียกร้องให้ได้ยิน ภาพยนตร์เริ่มต้นและจบลงด้วยบันทึกเสียงของ Woody Guthrie เพลง "So Long, It's Been Good to Know Yuh" ซึ่งไม่เพียงเชื่อมโยงดีแลนกับประเพณีดนตรีพื้นบ้านอเมริกันที่มีมายาวนาน แต่ยังสะท้อนแก่นของเรื่องราวทั้งหมด—เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลง บางครั้งสิ่งที่เราทำได้คือร้องเพลงและเดินทางต่อไป

Mangold และผู้เขียนบท Jay Cocks ไม่ได้พยายามอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับดีแลน แต่ปล่อยให้ผู้ชมเชื่อมโยงจุดต่างๆ ด้วยตัวเอง ทำไมดีแลนถึงผลักไสแฟนเพลงที่รักเขา? ทำไมเขาถึงปฏิเสธที่จะเล่นเพลงฮิตของตัวเองในทัวร์กับ Baez? ทำไมเขาถึงยืนกรานที่จะนำวงดนตรีไฟฟ้าขึ้นเวทีที่เทศกาลนิวพอร์ต ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีพื้นบ้านอันศักดิ์สิทธิ์? คำตอบอาจเป็นเพียงว่า—เพราะทุกคนบอกว่าเขาทำไม่ได้

ศิลปินที่ไม่มีใครรู้จักอย่างแท้จริง

"A Complete Unknown" ไม่ได้พยายามให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของดีแลน แต่กลับแสดงให้เห็นว่าแม้แต่คนใกล้ชิดก็ไม่อาจเข้าใจเขาได้อย่างถ่องแท้ ชื่อเรื่องสะท้อนแนวคิดนี้อย่างชัดเจน—ดีแลนยังคงเป็น "ผู้ที่ไม่มีใครรู้จักอย่างสมบูรณ์" แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงไฟและความสนใจจากสาธารณชน

ในที่สุด ภาพยนตร์ไม่ได้พยายามสรุปหรือจำกัดความดีแลน แต่เฉลิมฉลองความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของเขา เช่นเดียวกับที่เพลงของเขาเปลี่ยนโฉมหน้าของดนตรีอเมริกัน ภาพยนตร์ของ Mangold ก็ท้าทายขนบของภาพยนตร์ชีวประวัติด้วยเช่นกัน ทิ้งท้ายให้ผู้ชมได้ครุ่นคิดถึงพลังของศิลปะในการเปลี่ยนแปลงโลก และความลึกลับที่ไม่มีวันถูกไขของผู้สร้างสรรค์

This topic was modified 4 weeks ago by supachai
 
Posted : 20/04/2025 10:31 pm
Share: