ท่าอากาศยานนานาชาติชางงีของสิงคโปร์ ซึ่งครองอันดับ 4 ของโลกในด้านความพลุกพล่านของผู้โดยสารระหว่างประเทศ ได้เปิดฉากการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 อย่างเป็นทางการแล้ว ในพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยโครงการขยายสนามบินขนาดยักษ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสามารถในการรองรับผู้โดยสารและเสริมความแข็งแกร่งให้กับศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงหลังการฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19
โครงการพัฒนาระดับยักษ์เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
นายลอเรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ พร้อมกล่าวสุนทรพจน์ถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า "สนามบินชางงีไม่ได้เป็นเพียงประตูสู่สิงคโปร์เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่สำคัญของภูมิภาคและของโลก" โดยในปัจจุบัน สนามบินชางงีเชื่อมต่อกับเมืองต่างๆ ทั่วโลกประมาณ 170 แห่ง และมีเป้าหมายที่จะขยายการเชื่อมต่อไปยังกว่า 200 เมืองภายในกลางทศวรรษ 2030
นายหว่องยังเน้นย้ำถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่โครงการนี้จะมอบให้กับประเทศสิงคโปร์ "โครงการขนาดใหญ่นี้จะไม่เพียงเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของสนามบินชางงีเท่านั้น แต่ยังจะสร้างโอกาสการจ้างงานที่มีคุณภาพสูงและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเราด้วย" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ศักยภาพและความสามารถในการรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น
อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 ของสนามบินชางงี ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงกลางทศวรรษ 2030 จะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารอีก 50 ล้านคนต่อปีในเฟสแรกของการดำเนินงาน ทำให้ความสามารถรวมในการรองรับผู้โดยสารของสนามบินชางงีเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 140 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันที่สามารถรองรับได้ 90 ล้านคนต่อปี
นายลี ซีค วัน รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ กล่าวในงานแถลงข่าวหลังพิธีว่า "ในปี 2567 สนามบินชางงีรองรับผู้โดยสารไปแล้ว 67.7 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราคาดการณ์ว่าภายในปี 2570 จำนวนผู้โดยสารจะกลับมาสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 และจะเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 จึงเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่สำคัญยิ่ง"
การออกแบบล้ำสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นายเค. ชาทิส นักออกแบบหลักของโครงการ ได้เปิดเผยว่า อาคารผู้โดยสารแห่งใหม่นี้จะมีการออกแบบที่คำนึงถึงความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 10 เมกะวัตต์ มีระบบบำบัดน้ำเสียและนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
"อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 จะเป็นต้นแบบของสนามบินแห่งอนาคตที่ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพสูงในการให้บริการผู้โดยสาร แต่ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เราตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินงานของอาคารลงอย่างน้อย 30% เมื่อเทียบกับอาคารผู้โดยสารทั่วไป" นายชาทิสกล่าว
สิงคโปร์แอร์ไลน์และพันธมิตรสายการบิน
สิงคโปร์แอร์ไลน์ สายการบินแห่งชาติของประเทศสิงคโปร์ ได้ประกาศแผนที่จะย้ายการดำเนินงานหลักมาที่อาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ นายโก ชูน พุน ซีอีโอของสิงคโปร์แอร์ไลน์ กล่าวว่า "การมีอาคารผู้โดยสารใหม่ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงนี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสารและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการของเรา"
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าสายการบินพันธมิตรในกลุ่ม Star Alliance อาจจะย้ายการดำเนินงานบางส่วนมายังอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่นี้ด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อเที่ยวบินและการให้บริการผู้โดยสาร
การพัฒนาทางวิ่งและโครงสร้างพื้นฐาน
นอกเหนือจากการสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่แล้ว สนามบินชางงียังมีแผนที่จะปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะการรวมทางวิ่งเส้นที่ 3 ซึ่งปัจจุบันใช้งานโดยกองทัพอากาศสิงคโปร์ ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของสนามบินเพื่อการบินพลเรือนภายในปี 2573
นายซีฮ คง หยู ซีอีโอของ Changi Airport Group กล่าวว่า "การเพิ่มทางวิ่งเส้นที่ 3 เข้ามาในระบบการดำเนินงานของสนามบินจะช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับเที่ยวบินได้มากขึ้น ซึ่งจะสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสารเมื่ออาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 เปิดให้บริการ"
ความท้าทายและการปรับตัวหลังวิกฤตโควิด-19
โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 นี้เคยถูกระงับไปในปี 2563 เป็นเวลา 2 ปี เนื่องจากการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้การเดินทางทางอากาศทั่วโลกหยุดชะงักลง อย่างไรก็ตาม หลังจากสถานการณ์การระบาดคลี่คลายลง รัฐบาลสิงคโปร์ได้ตัดสินใจดำเนินโครงการต่อ แต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมการเดินทางในยุคหลังโควิด-19
นายเทโอ ชี ฮีน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า "วิกฤตโควิด-19 ทำให้เราได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการออกแบบสนามบินเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข อาคารผู้โดยสารแห่งใหม่นี้จะมีการออกแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้น มีพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความจำเป็น และมีระบบการกรองอากาศและฆ่าเชื้อที่ทันสมัย"
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของสิงคโปร์
โครงการพัฒนาสนามบินชางงี รวมถึงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 10 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 240,000 ล้านบาท) และจะสร้างงานกว่า 30,000 ตำแหน่งทั้งในช่วงก่อสร้างและหลังเปิดดำเนินการ
นางเจสสิก้า ตัน ประธานคณะกรรมการการท่องเที่ยวสิงคโปร์ กล่าวว่า "การขยายตัวของสนามบินชางงีเป็นส่วนสำคัญในยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของสิงคโปร์ เราตั้งเป้าที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้ 30 ล้านคนต่อปีภายในปี 2578 และสนามบินที่มีศักยภาพสูงจะเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้"
บทบาทในการแข่งขันระดับภูมิภาค
การลงทุนขนาดใหญ่ในการพัฒนาสนามบินชางงีสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของสิงคโปร์ในการรักษาตำแหน่งผู้นำด้านการบินในภูมิภาคเอเชีย ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากสนามบินขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น สนามบินฮ่องกง สนามบินอินชอนของเกาหลีใต้ และสนามบินสุวรรณภูมิของไทย
ดร.อาลัน ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางอากาศจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า "การแข่งขันระหว่างสนามบินศูนย์กลางในเอเชียกำลังทวีความเข้มข้นขึ้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เช่นนี้จะช่วยให้สิงคโปร์สามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและตอบสนองต่อการเติบโตของตลาดการเดินทางทางอากาศในภูมิภาคได้"
สนามบินชางงียังคงเป็นหนึ่งในสนามบินที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกด้วยรางวัลสนามบินยอดเยี่ยมของโลกจาก Skytrax หลายครั้ง และการพัฒนาอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 5 นี้จะยิ่งตอกย้ำตำแหน่งผู้นำของสนามบินแห่งนี้ในอุตสาหกรรมการบินโลก