การท่องเที่ยวโลกในปี 2568 ส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจนหลังจากวิกฤตโควิด-19 โดยองค์การการท่องเที่ยวแห่งสหประชาชาติ (UN Tourism) คาดการณ์ว่าจะกลับสู่ระดับเดียวกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเคยเติบโตสูงสุด และมีแนวโน้มขยายตัวถึง 5% ในปีนี้ โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่นๆ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ตาม
ท่องเที่ยวโลกปีนี้โต 5% เอเชียยังคงโดดเด่น
นางซานดร้า คาร์เวา ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลการตลาด นโยบายและความสามารถในการแข่งขัน องค์การการท่องเที่ยวแห่งสหประชาชาติ (UN Tourism) เปิดเผยว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 และโรคระบาดอื่นๆ โดยแนวโน้มการท่องเที่ยวโลกในปี 2568 นี้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะกลับมาเติบโตใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวกำลังขยายตัวสูงสุด
"ถึงแม้การฟื้นตัวในแต่ละภูมิภาคจะไม่เท่ากัน แต่สิ่งสำคัญคือ ทุกภูมิภาคกำลังกลับมาใกล้เคียงกับระดับการท่องเที่ยวก่อนปี 2562 โดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป และอเมริกา ซึ่งการเติบโตของราคาค่าใช้จ่ายได้เกินกว่า 12% ของปี 2562 ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในปี 2566 เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 33% เมื่อเทียบกับปี 2565 และคาดว่าในปี 2567 การเติบโตในเอเชียแปซิฟิกจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นางซานดร้ากล่าว
นอกจากนี้ UN Tourism ยังชี้ให้เห็นถึงดัชนีความมั่นใจในการท่องเที่ยวจากคณะผู้เชี่ยวชาญระดับโลก พบว่า 64% ของผู้เชี่ยวชาญคาดว่าแนวโน้มของตลาดการท่องเที่ยวโลกในปีนี้จะดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 65% คาดว่าการเติบโตจะดีขึ้น และ 80% เชื่อว่าจะดีขึ้นมาก โดยเฉพาะในแง่ของการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในแต่ละประเทศในภูมิภาคนี้
สำหรับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวโลก มีการคาดการณ์ว่าจะกลับมาฟื้นตัวเต็มรูปแบบภายในปี 2568-2569 โดยผู้เชี่ยวชาญกว่า 45% คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ภายในปีนี้ ขณะที่อีก 32% เชื่อว่าการฟื้นฟูจะเกิดขึ้นในปีถัดไป สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในการฟื้นตัวที่มั่นคงของตลาดการท่องเที่ยวทั่วโลก
การฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีแรกและตลาดที่น่าจับตา
สำหรับแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วง 4 เดือนข้างหน้า UN Tourism คาดการณ์ว่าจะเห็นการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั่วโลกประมาณ 35% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดใหม่อย่าง อินเดีย ซึ่งจะเป็นตลาดนักท่องเที่ยวสำคัญในอนาคต
จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางและแนวโน้มการจองที่พักล่วงหน้า พบว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกกำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบและมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น การยกเว้นวีซ่า หรือการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ
ขณะเดียวกัน การเติบโตของประสบการณ์การท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ๆ เช่น งานนิทรรศการระดับนานาชาติ กิจกรรมกีฬา และเทศกาลดนตรี กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงสร้างสรรค์ยังคงเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวให้ความสนใจกับการสัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่นและการเรียนรู้วัฒนธรรมของแต่ละประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมในการนำเสนอจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์
ทั้งนี้ แม้ว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวภายในประเทศลดลงในบางพื้นที่ แต่ตลาดภายในประเทศยังคงเป็นส่วนสำคัญในการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวโดยรวม ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในช่วงที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่
11 ปัจจัยท้าทายหลักท่องเที่ยวปีนี้
แม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการในปี 2568 โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งผลสำรวจจากผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า ความท้าทายหลักที่อุตสาหกรรมต้องเผชิญ มีทั้งหมด 11 ประเด็น ได้แก่
-
ค่าเดินทางและที่พักที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยท้าทายสูงสุดที่นักท่องเที่ยวต้องเผชิญ เนื่องจากราคาตั๋วเครื่องบินและค่าที่พักที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 เป็นผลมาจากต้นทุนด้านพลังงานและแรงงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่ผู้ประกอบการพยายามชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปในช่วงการระบาด
-
ปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น เงินเฟ้อ ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวและพฤติกรรมการใช้จ่าย ทำให้นักท่องเที่ยวมีการวางแผนการเดินทางที่รัดกุมมากขึ้น และมีการเปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทาง
-
ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางและการตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทาง โดยความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ อาจทำให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยง หรือพื้นที่ใกล้เคียง
-
เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ที่มีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว รวมถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการวางแผนการเดินทาง
-
การขาดแคลนบุคลากร ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ หลังจากที่แรงงานจำนวนมากได้เปลี่ยนไปทำงานในภาคส่วนอื่นในช่วงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้คุณภาพการบริการลดลงและต้นทุนด้านแรงงานเพิ่มสูงขึ้น
-
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมืองในหลายภูมิภาค ทำให้การตัดสินใจเดินทางและการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวลดลง
-
ข้อกำหนดในการเดินทาง ที่ยังคงมีความซับซ้อนในบางประเทศ เช่น การขอวีซ่า การตรวจสอบด้านความปลอดภัย หรือข้อกำหนดด้านสุขอนามัย ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยว
-
ปัญหาความแออัดของนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยว หรือ Overtourism โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากกลับมาเยือนพร้อมกัน ทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และความขัดแย้งกับชุมชนท้องถิ่น
-
ความแออัดในสนามบิน เที่ยวบินล่าช้า และการยกเลิกเที่ยวบิน จากการที่สายการบินและสนามบินยังคงประสบปัญหาในการปรับตัวกลับสู่ระดับการให้บริการก่อนการระบาดของโควิด-19 ทำให้ประสบการณ์การเดินทางของนักท่องเที่ยวไม่ราบรื่น
-
การรุกรานยูเครนของรัสเซีย ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางและเศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรป รวมถึงราคาพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวม
-
ความขัดแย้งระหว่างฮามาสและอิสราเอล ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลางและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวในการเดินทางไปยังประเทศในภูมิภาคนี้ รวมถึงประเทศใกล้เคียงที่อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
ปัจจัยทางเศรษฐกิจกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว
นอกจากปัจจัยท้าทายทั้ง 11 ประการแล้ว ยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เช่น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา และการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกที่อาจเติบโตเพียง 2.8% ในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ทาง UN Tourism มองว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ การปรับตัวของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ เช่น การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการของตลาด และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและความยืดหยุ่นต่อปัจจัยท้าทายต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน: ทิศทางสำคัญในอนาคต
UN Tourism ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันในภาคการท่องเที่ยว เพื่อสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน โดยไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าและประโยชน์ที่ยั่งยืนให้กับชุมชนท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม
"การพัฒนาภาคการท่องเที่ยวต้องไม่เพียงแต่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของชุมชน" นางซานดร้า กล่าว พร้อมเน้นถึงความจำเป็นในการแบ่งปันผลประโยชน์กับชุมชนท้องถิ่นและการรักษาความมั่งคั่งและองค์ความรู้ในชุมชน
องค์การการท่องเที่ยวแห่งสหประชาชาติยังผลักดันแนวคิดการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคม (Responsible Tourism) มากขึ้น โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวตระหนักถึงผลกระทบของการท่องเที่ยวต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพื่อลดความแออัดในแหล่งท่องเที่ยวหลัก และกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวไปยังชุมชนที่ห่างไกล ซึ่งจะช่วยลดปัญหา Overtourism และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ชนบท
การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (Quality Tourism) ที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและประสบการณ์ที่มีคุณค่าให้กับนักท่องเที่ยว แทนการเน้นปริมาณนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ก็เป็นอีกแนวทางที่ UN Tourism สนับสนุน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในระยะยาว
ยก "Amazing Thailand" แบรนด์แกร่งในเวทีโลก
การท่องเที่ยวไทยในมุมมองของ UN Tourism ได้รับการยกย่องอย่างสูงจาก "นายแฮร์รี่ หวัง" ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก องค์การการท่องเที่ยวแห่งสหประชาชาติ หรือ UN Tourism ที่กล่าวถึงความสำคัญของประเทศไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการท่องเที่ยวที่มีวิสัยทัศน์และมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแบรนด์การท่องเที่ยวระดับโลก
นายแฮร์รี่ หวัง ชื่นชมการพัฒนา "Amazing Thailand" ให้เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความเป็นมิตร ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และนวัตกรรมที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนและการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมยกย่องประเทศไทยที่สามารถรักษามาตรฐานการท่องเที่ยวที่ไม่เพียงสะท้อนความมุ่งมั่นในเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
"ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับความชื่นชมจากทั่วโลกสำหรับมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่น่าทึ่ง รวมถึงอาหารไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก" นายแฮร์รี่ กล่าว พร้อมเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวในการรับประทานอาหารไทยในหลายประเทศ เช่น สเปน ลอนดอน และเม็กซิโก ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมไทยที่แพร่หลายไปทั่วโลก
การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทยและเอเชียแปซิฟิก
ในปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวไทยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ถึง 35 ล้านคน ซึ่งฟื้นตัวได้ถึง 90% ของระดับก่อนโควิด สาเหตุสำคัญคือการปรับปรุงนโยบายที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเปิดให้ประชาชนจาก 93 ประเทศสามารถเข้ามาท่องเที่ยวในไทยได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ภาพรวมของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในปีที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะยังไม่กลับมาถึงระดับปี 2562 แต่ก็มีประเทศที่มีการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด เช่น มัลดีฟส์ เพิ่มขึ้น 20%, ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 16%, และฟิจิ เพิ่มขึ้น 10% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้
นายแฮร์รี่ หวัง เผยว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิก คือการที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 และเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในภูมิภาคด้วย
แผนการพัฒนาการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียและไทย
นอกจากนี้ UN Tourism ยังมีแผนการพัฒนาตลาดการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศอาเซียน รวมถึงไทย ซึ่ง UN Tourism หวังที่จะเพิ่มมูลค่าและรายได้จากการท่องเที่ยว โดยแนะนำแนวทางการปรับตัวให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น และการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูง
นายแฮร์รี่ เชื่อว่าการพัฒนาด้านดิจิทัลจะช่วยพัฒนาชนบทในประเทศไทย รวมถึงการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งยังมีโครงการ Tourism for Rural Development and Domestic Tourism หรือ "หมู่บ้านการท่องเที่ยวที่ดีที่สุด" ที่ได้รับการสนับสนุนจาก UN Tourism เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น
"เราจะช่วยรักษาและยกระดับแนวคิด 'Amazing Thailand' ให้เป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่นๆ โดยไม่เพียงแต่ฟื้นฟูการท่องเที่ยว แต่ยังเชื่อมโยงความภูมิใจในประเทศและการส่งเสริมนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว" นายแฮร์รี่ กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า "การท่องเที่ยวไม่เพียงแต่เกี่ยวกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ อีกด้วย"
การพัฒนาแบรนด์ Amazing Thailand ในอนาคต
UN Tourism ยังมีแผนที่จะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดและการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน เพื่อยกระดับแบรนด์ Amazing Thailand ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในเวทีโลก โดยจะมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าและความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น
การพัฒนาการท่องเที่ยวดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและความสะดวกสบายในการเข้าถึงข้อมูลและบริการ
นอกจากนี้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ใหม่ๆ และการกระจายนักท่องเที่ยวไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยลดความแออัดในแหล่งท่องเที่ยวหลัก และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของ UN Tourism
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
การท่องเที่ยวโลกในปี 2568 แม้จะมีแนวโน้มฟื้นตัวและเติบโตที่ 5% แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจำเป็นต้องปรับตัวและหาแนวทางในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขณะเดียวกัน การมุ่งเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็เป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งประเทศไทย ในฐานะหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก มีโอกาสที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศอย่าง UN Tourism การท่องเที่ยวโลกและการท่องเที่ยวไทยจะสามารถก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ และเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต เพื่อสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศและชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 3 วันที่แล้ว: เปิดเทรนด์ใหม่ นักเดินทางทั่วโลกมุ่งสู่การท่องเที่ยวยั่งยืน
- 2 วันที่แล้ว: คู่มือเที่ยวแบบยั่งยืน 2025 ด้วย 8 วิธีเที่ยวไม่เบียดเบียนโลก
- 3 วันที่แล้ว: เริ่มแล้ว! KAWS HOLIDAY THAILAND สนามหลวง ครั้งแรกในไทย 13-25 พ.ค.นี้
- 1 วันที่แล้ว: ผลสำรวจ "คนรุ่นใหม่" ยอมจ่ายเงินเที่ยวแก้เครียด ชี้ 5 แลนด์มาร์คคนไทยอยู่ในเอเชีย
- 2 วันที่แล้ว: ททท. เปิดโครงการ "เมืองน่าเที่ยว" ชู 12 แคมเปญ โปรเด็ดเที่ยวหน้าฝน