ระบบการเงินไทยกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศนโยบายเปิดให้จัดตั้ง "Virtual Bank" หรือธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา โดยจะเริ่มรับสมัครจากภาคเอกชนภายในปี 2024 และคาดว่าผู้ให้บริการรายแรกจะเปิดให้บริการได้ในปี 2026
นโยบายนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูประบบการเงินไทยสู่ยุคดิจิทัล แต่ที่น่าสนใจคือ ธปท.ตัดสินใจอนุญาตให้มี Virtual Bank เพียง 3 รายในช่วงเริ่มต้น ซึ่งเป็นจุดที่ก่อให้เกิดการถกเถียงในหมู่ผู้เชี่ยวชาญว่า จำนวนดังกล่าวเพียงพอหรือไม่ในการสร้างการแข่งขันที่แท้จริง
Virtual Bank คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ
Virtual Bank หรือธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา เป็นรูปแบบสถาบันการเงินที่ให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเท่านั้น โดยไม่มีสาขาที่มีสถานที่ตั้งทางกายภาพแบบธนาคารพาณิชย์ทั่วไป จุดเด่นหลักของ Virtual Bank อยู่ที่การใช้ประโยชน์จากข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเต็มรูปแบบ
ความสามารถในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าทำให้ Virtual Bank สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสมกับรายได้และพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า หรือการประเมินความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ด้วยเทคโนโลยี Machine Learning และ Artificial Intelligence
การเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ Virtual Bank คือการส่งเสริมให้คนในระบบเศรษฐกิจเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบอย่างทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสาขาธนาคารได้ง่าย
ด้วยการให้บริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล Virtual Bank สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและบำรุงรักษาสาขา ทำให้สามารถเสนอบริการทางการเงินในราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น และเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น
การสร้างการแข่งขันในระบบธนาคารพาณิชย์
เป้าหมายอีกประการหนึ่งของการเปิดให้มี Virtual Bank คือการผลักดันให้เกิดการแข่งขันภายในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ซึ่งปัจจุบันถือว่ามีลักษณะกึ่งผูกขาดจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ไม่กี่แห่ง
การเข้ามาของ Virtual Bank คาดว่าจะช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค และสร้างแรงกดดันให้ธนาคารพาณิชย์เดิมต้องปรับปรุงบริการและลดค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาฐานลูกค้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพของระบบการเงินโดยรวม
ปริศนาแห่งจำนวน: ทำไม 3 รายถึงจะเหมาะสม
คำถามใหญ่ที่เกิดขึ้นในหมู่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินคือ ทำไม ธปท.จึงเลือกเปิดให้มี Virtual Bank เพียง 3 รายในช่วงเริ่มต้น แทนที่จะเปิดกว้างให้ผู้ให้บริการจำนวนมากเข้ามาแข่งขันกัน
ทฤษฎีการแข่งขันและความเป็นจริง
ในทางทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นควรจะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในระบบธนาคารพาณิชย์มากขึ้น โดยจะสร้างแรงจูงใจให้ธนาคารแข่งขันกันปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อดึงดูดลูกค้า และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อระดมเงินทุน
ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก (Interest Rate Spread) จะลดลง ซึ่งหมายความว่าผู้บริโภคจะได้รับบริการทางการเงินในต้นทุนที่ต่ำลง และได้รับผลตอบแทนจากเงินฝากที่สูงขึ้น
หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ท้าทายทฤษฎี
อย่างไรก็ตาม การศึกษาเชิงประจักษ์ในหลายประเทศแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการแข่งขันและประสิทธิภาพในระบบธนาคารไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีเสมอไป
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และปารากวัย ซึ่งมีระดับการแข่งขันในระบบธนาคารสูง แต่ประสิทธิภาพของระบบการเงินกลับไม่สูงตามไปด้วย ในทางตรงข้าม ประเทศอย่างฟินแลนด์และเดนมาร์กมีระดับการแข่งขันในระบบธนาคารที่ต่ำกว่า แต่กลับมีประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงินที่สูงกว่า
สามเหตุผลที่อธิบายความไม่สอดคล้องนี้
ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอคำอธิบายสำหรับความไม่สอดคล้องระหว่างทฤษฎีและความเป็นจริงนี้ใน 3 ประการหลัก:
ประการแรก: ข้อจำกัดของการวัดการแข่งขัน
ดัชนีที่ใช้วัดการแข่งขันทั่วไป เช่น จำนวนธนาคารหรือสัดส่วนสินทรัพย์ของธนาคารขนาดใหญ่ ไม่สามารถสะท้อนรูปแบบและความเข้มข้นของการแข่งขันที่แท้จริงได้อย่างครบถ้วน
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีธนาคารขนาดใหญ่เพียง 2 แห่งคือ BNP Paribas และ Credit Agricole แต่ทั้งสองธนาคารนี้แข่งขันกันอย่างเข้มข้นมาก ส่งผลให้แม้สัดส่วนสินทรัพย์ของธนาคารขนาดใหญ่จะสูง แต่ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของประเทศฝรั่งเศสกลับต่ำกว่าหลายประเทศที่มีระดับการแข่งขันสูงกว่าตามดัชนีทั่วไป
ประการที่สอง: ประโยชน์ของอำนาจตลาด
การแข่งขันสมบูรณ์อาจไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอไปในอุตสาหกรรมธนาคาร เนื่องจากธนาคารที่มีอำนาจตลาดจะมีความได้เปรียบในหลายด้าน
ธนาคารขนาดใหญ่จะมีลูกค้าที่ทำธุรกรรมอยู่เป็นประจำ ทำให้สามารถเก็บสะสมข้อมูลทางการเงินของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและต่อเนื่อง ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ ธนาคารที่มีขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์จากความประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ทำให้สามารถให้บริการในต้นทุนที่ต่ำกว่าตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ ซึ่งในที่สุดอาจส่งผลดีต่อผู้บริโภคมากกว่าการมีผู้เล่นจำนวนมากที่ต้องแบกรับต้นทุนสูง
ประการที่สาม: บริบทเฉพาะของแต่ละประเทศ
ประโยชน์ของการแข่งขันต่อประสิทธิภาพของระบบธนาคารขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม ระบบการกำกับดูแล และระดับการพัฒนาทางเทคโนโลジีของแต่ละประเทศ
กรณีศึกษาจากเดนมาร์กเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ประเทศนี้มีธนาคาร Danske Bank ที่ครองสัดส่วนสินทรัพย์สูงกว่า 50% ของสินทรัพย์รวมของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ แม้จะเป็นลักษณะกึ่งผูกขาด แต่ระบบธนาคารของเดนมาร์กกลับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
กรณีศึกษาเดนมาร์ก: เทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบธนาคารของเดนมาร์กประสบความสำเร็จแม้จะมีระดับการแข่งขันที่ไม่สูงนัก คือการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีทางการเงินอย่างกว้างขวาง
การใช้งาน Mobile Payment ที่แพร่หลาย
การสำรวจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในปี 2021 พบว่าประชากรเดนมาร์กที่มีอายุมากกว่า 15 ปีถึง 99.93% ใช้ Mobile Payment ในชีวิตประจำวัน สถิตินี้ถือเป็นหนึ่งในอัตราการใช้งานที่สูงที่สุดในโลก
การที่ประชาชนในเดนมาร์กยอมรับและใช้เทคโนโลยีทางการเงินอย่างแพร่หลายทำให้ธนาคารสามารถลดต้นทุนในการให้บริการได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนในการดำเนินงานสาขา ต้นทุนการประมวลผลธุรกรรม หรือต้นทุนการบริการลูกค้า
โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง
เดนมาร์กมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่างจริงจัง ทั้งในด้านของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสถาบันการเงิน
โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ทำให้ธนาคารสามารถให้บริการที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มีการแข่งขันที่รุนแรงก็สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับผู้บริโภคได้
บทเรียนสำหรับประเทศไทย: คุณภาพเหนือปริมาณ
จากการวิเคราะห์ประสบการณ์ของต่างประเทศ สิ่งที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญไม่ใช่จำนวนของ Virtual Bank ที่จะอนุญาตให้เข้ามาในตลาด แต่เป็นการเตรียมความพร้อมของระบบเพื่อรองรับการทำงานของ Digital Banking อย่างมีคุณภาพ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี
ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการทำงานของ Virtual Bank ซึ่งรวมถึง:
- ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงและครอบคลุมทั่วประเทศ
- มาตรฐาน Application Programming Interface (API) ที่เป็นสากลและใช้งานร่วมกันได้
- ระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่มีประสิทธิภาพ
- เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง (AI/ML) สำหรับการวิเคราะห์ความเสี่ยง
การสร้างกรอบกฎหมายที่เหมาะสม
ระบบกฎหมายและการกำกับดูแลเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของ Virtual Bank ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนา:
- กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวดและใช้งานได้จริง
- มาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับสถาบันการเงิน
- กรอบการกำกับดูแลที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
- ระบบการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมาะสมกับลักษณะของธุรกิจดิจิทัล
ความเสี่ยงจากการเปิดเสรีอย่างรวดเร็ว
แม้การเพิ่มจำนวนผู้เล่นในตลาดจะสร้างการแข่งขันที่ดี แต่การเปิดเสรีอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการเตรียมความพร้อมที่เพียงพออาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการเงินโดยรวม
ความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรงเกินไป
เมื่อมีผู้เล่นจำนวนมากเข้าสู่ตลาดในเวลาเดียวกัน อาจเกิดการแข่งขันที่รุนแรงจนเกินขอบเขต ผู้ให้บริการอาจถูกกดดันให้ยอมรับความเสี่ยงในระดับที่สูงเกินไปเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด
การแข่งขันแบบนี้อาจนำไปสู่การผ่อนปรนเกณฑ์การให้สินเชื่อ การเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือการดำเนินธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งในระยะยาวจะสร้างความเปราะบางให้กับระบบการเงิน
ต้นทุนจากการล้มเหลวของธุรกิจ
การศึกษาของ Kang, Lowery และ Wardlaw ในปี 2015 ที่วิเคราะห์ต้นทุนจากการปิดกิจการธนาคารในสหรัฐอเมริกาช่วงปี 1985-1992 พบว่าการปิดกิจการธนาคารหนึ่งแห่งมีต้นทุนเฉลี่ยสูงถึง 25.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 21.9% ของมูลค่าสินทรัพย์ของธนาคาร
ต้นทุนเหล่านี้ไม่รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่อาจเกิดขึ้น เช่น การสูญเสียความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบการเงิน การเกิดปรากฏการณ์แห่ถอนเงินฝาก หรือการชะงักงันของการให้สินเชื่อในระบบ
ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
เมื่อเกิดปัญหาในระบบการเงิน ผลกระทบจะขยายตัวไปสู่ระบบเศรษฐกิจโดยรวม ต้นทุนทางการเงินจะปรับสูงขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าชดเชยความเสี่ยง การให้สินเชื่อจะลดลง และการลงทุนจะชะลอตัว
แนวทางการพัฒนา Virtual Bank ที่ยั่งยืน
เพื่อให้ Virtual Bank สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับระบบเศรษฐกิจไทย จำเป็นต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบ
การสร้างรากฐานสถาบันที่เข้มแข็ง
จากการศึกษาประสบการณ์ของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนา Digital Banking เช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น พบว่าปัจจัยสำคัญคือการมีโครงสร้างเชิงสถาบันที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วย 2 รากฐานหลัก:
รากฐานชั้นแรก: โครงสร้างพื้นฐานและกฎหมาย
รากฐานชั้นแรกประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน:
-
โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่สมบูรณ์ - รวมถึงระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง API ที่มีมาตรฐาน และเทคโนโลยีการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่
-
กรอบกฎหมายที่ครอบคลุม - โดยเฉพาะกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและกฎหมายรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สามารถบังคับใช้ได้จริง
รากฐานชั้นแรกนี้จะสร้างระบบธนาคารที่มีความสมบูรณ์ของข้อมูลและความปลอดภัย ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการประเมินผลตอบแทนและความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
รากฐานชั้นที่สอง: กรอบแรงจูงใจที่สัมฤทธิผล
รากฐานชั้นที่สองเน้นไปที่การสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมสำหรับผู้เล่นในระบบ ซึ่งรวมถึง:
- การวางกฎกติกาที่ส่งเสริมการแข่งขันแบบสมดุลในธุรกิจธนาคาร
- นโยบายที่จูงใจให้ธนาคารจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง
- การสนับสนุนให้ผู้ให้บริการขนาดเล็กเข้าถึงข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน
- ระบบการให้ความรู้เกี่ยวกับกฎกติกาและแนวทางปฏิบัติในการประกอบธุรกิจธนาคาร
ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป
แทนที่จะเปิดเสรีแบบรวดเร็ว การพัฒนา Virtual Bank แบบค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ
ประโยชน์ของการเริ่มต้นด้วย 3 ราย
การที่ ธปท.เลือกเริ่มต้นด้วยการอนุญาตให้มี Virtual Bank เพียง 3 รายมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลหลายประการ:
- การเรียนรู้และปรับปรุง - จำนวนที่จำกัดจะทำให้สามารถติดตามและประเมินผลการดำเนินงานได้อย่างใกล้ชิด
- การจัดการความเสี่ยง - ผลกระทบจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจะอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
- การสร้างมาตรฐาน - ประสบการณ์จากผู้เล่นรายแรกจะช่วยในการกำหนดมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้เล่นรายต่อไป
การขยายตัวในอนาคต
หลังจากที่ Virtual Bank รายแรกเริ่มดำเนินงานและมีข้อมูลการประเมินผลที่เพียงพอ ธปท.สามารถพิจารณาขยายจำนวนผู้ให้บริการเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม
การขยายตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้ระบบการเงินสามารถปรับตัวและพัฒนาไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ต้องเสี่ยงกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
ข้อสรุป: มุ่งสู่ระบบการเงินที่มีคุณภาพ
การพัฒนา Virtual Bank ในประเทศไทยไม่ควรมุ่งเน้นไปที่จำนวนของผู้ให้บริการเป็นหลัก แต่ควรให้ความสำคัญกับการสร้างระบบการเงินที่มีคุณภาพและยั่งยืน
เป้าหมายที่แท้จริง
เป้าหมายสูงสุดของการมี Virtual Bank คือการสร้างระบบการเงินที่:
- เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินสำหรับทุกกลุ่มในสังคม
- ใช้เทคโนโลยีในการยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ
- สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมและเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบ
- ส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงินที่สร้างประโยชน์แก่ผู้บริโภค
บทบาทของทุกภาคส่วน
ความสำเร็จของ Virtual Bank ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานกำกับดูแลเพียงแห่งเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน:
- ภาครัฐ - พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกรอบกฎหมายที่เอื้อต่อการเติบโตของ Digital Banking
- ภาคเอกชน - ลงทุนในเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
- ประชาชน - ยอมรับและเรียนรู้การใช้บริการทางการเงินดิจิทัล
กุญแจสำคัญของการพัฒนา Virtual Bank ที่ประสบความสำเร็จจึงไม่ได้อยู่ที่ "จำนวน" แต่อยู่ที่ "คุณภาพของระบบธนาคารพาณิชย์" ที่ประเทศไทยต้องการสร้างขึ้น ระบบที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว
ทิศทางในอนาคต
ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เมื่อ Virtual Bank เริ่มเปิดให้บริการ ประเทศไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์ของระบบการเงิน การเตรียมความพร้อมที่ดีในช่วงนี้จะเป็นตัวกำหนดว่า Virtual Bank จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้มากเพียงใด
ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน Digital Banking ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากสามารถพัฒนาระบบที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง การมุ่งเน้นไปที่คุณภาพมากกว่าปริมาณจึงเป็นแนวทางที่ถูกต้องและยั่งยืนสำหรับการพัฒนา Virtual Bank ในประเทศไทย