Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

Notifications
Clear all

DEI กำลังเขย่าเศรษฐกิจ-การเมืองสหรัฐฯ จุดเปลี่ยนใหญ่ที่ส่งกระทบทั่วประเทศ

1 Posts
1 Users
0 Reactions
19 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 5484
Illustrious Member
Topic starter
 

นโยบายความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม หรือ DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่สร้างความแตกแยกครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความยุติธรรมทางสังคม อีกฝ่ายกลับวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นภัยคุกคามต่อระบบคุณธรรมและเป็นการเลือกปฏิบัติในรูปแบบใหม่

ปัจจุบัน แทบไม่มีประเด็นใดในสหรัฐอเมริกาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมเท่ากับเรื่อง DEI ซึ่งถึงแม้จะเป็นแนวคิดที่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายจนกระทั่งเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แต่รากฐานของ DEI กลับสามารถติดตามย้อนกลับไปถึงเอกสารก่อตั้งประเทศและการเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญหลายครั้งในประวัติศาสตร์อเมริกา

รากฐานทางประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง

หลักการแห่งความเสมอภาคที่ DEI ยึดถือนั้นสามารถพบได้ในเอกสารก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา โดยรากฐานของแนวคิดนี้มาจากความพยายามสำคัญหลายครั้งในศตวรรษที่ 20 เช่น พระราชบัญญัติสิทธิพลเมืองปี 1964 (Civil Rights Act of 1964) และนโยบายการเลือกปฏิบัติเชิงบวก (Affirmative Action) ตลอดจนขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมทางเชื้อชาติ ความเสมอภาคทางเพศ สิทธิของผู้พิการ ทหารผ่านศึก และผู้อพยพ

ขบวนการทางสังคมเหล่านี้มีเป้าหมายหลักเพื่อขยายโอกาสในการมีส่วนร่วมในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และชีวิตพลเมืองให้กับกลุ่มคนที่เคยถูกกีดกันหรือเลือกปฏิบัติ DEI จึงถือเป็นมรดกตกทอดจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้ในหลายแง่มุม และเป็นการพัฒนาต่อยอดแนวคิดความเสมอภาคที่มีมายาวนาน

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

ฝ่ายที่วิจารณ์ DEI โต้แย้งอย่างรุนแรงว่า DEI ขัดต่อระบอบประชาธิปไตย ส่งเสริมความคิดในแนวทางเดียวกัน และนำไปสู่โครงการที่เลือกปฏิบัติในรูปแบบใหม่ ซึ่งพวกเขาเห็นว่าส่งผลเสียต่อคนผิวขาวและบ่อนทำลายระบบคุณธรรมที่ยึดถือผลงานเป็นหลัก พวกเขากังวลว่า DEI จะนำไปสู่การลดมาตรฐานและการให้ความสำคัญกับเชื้อชาติและเพศมากกว่าความสามารถจริง

ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายที่ปกป้อง DEI กลับเห็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง โดยระบุว่า DEI ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและประชาธิปไตย และการโจมตี DEI เท่ากับการถอยห่างจากกฎหมายสิทธิพลเมืองที่มีมาช้านานและเป็นการปฏิเสธความก้าวหน้าทางสังคมที่สำคัญ พวกเขาเชื่อว่า DEI เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการแก้ไขความไม่เป็นธรรมที่ฝังรากลึกในระบบสังคมอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญที่มักขาดหายไปจากการถกเถียงครั้งนี้คือ คำถามที่ว่า DEI มีต้นทุนและผลประโยชน์ที่จับต้องได้อย่างไรบ้าง ใครได้รับประโยชน์ ใครไม่ได้รับ และส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างไร

ผู้ได้รับประโยชน์จาก DEI: ข้อมูลที่น่าสนใจ

ภาคธุรกิจเห็นผลตอบแทนที่ชัดเจน

ในโลกธุรกิจ โครงการ DEI มีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมความหลากหลายในองค์กร และงานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นอย่างสม่ำเสมอว่าความหลากหลายเป็นผลดีต่อธุรกิจ บริษัทที่มีทีมงานหลากหลายมากกว่ามักมีผลประกอบการที่ดีกว่าในหลายด้าน เช่น รายได้ กำไร และความพึงพอใจของพนักงาน

รายงานของ McKinsey & Company ในปี 2023 พบว่า บริษัทที่มีความหลากหลายทางเพศและชาติพันธุ์สูงกว่ามีแนวโน้มที่จะมีผลประกอบการทางการเงินดีกว่าบริษัทที่มีความหลากหลายน้อยที่สุดอย่างน้อย 39% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมของการมีความหลากหลาย

งานวิจัยยังแสดงให้เห็นอีกว่า บริษัทที่มีแรงงานหลากหลายมีข้อได้เปรียบที่สำคัญในด้านนวัตกรรม การสรรหาบุคลากร และความสามารถในการแข่งขัน แนวโน้มนี้ปรากฏในความหลากหลายหลายรูปแบบ ทั้งอายุ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และเพศ ซึ่งแต่ละมิติของความหลากหลายต่างก็มีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งขององค์กร

ตลาดผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

การมุ่งเน้นความหลากหลายยังเปิดโอกาสทางกำไรใหม่ ๆ ให้แก่ธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดใหม่ แบบสำรวจในปี 2021 พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันสองในสามคำนึงถึงความหลากหลายในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ

กลุ่มที่เรียกว่า "ผู้บริโภครวม" (Inclusive Consumers) ซึ่งมักเป็นผู้หญิง คนรุ่นใหม่ และมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์มากกว่า กำลังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของตลาด หากธุรกิจละเลยค่านิยมของกลุ่มนี้อาจส่งผลเสียต่อยอดขาย ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อตัวแทนค้าปลีกอย่าง Target ถอยห่างจากโครงการ DEI การต่อต้านจากผู้บริโภคที่ตามมาก็มีส่วนทำให้ยอดขายลดลงอย่างเห็นได้ชัด

การศึกษา: การเปิดประตูสู่อนาคต

แต่ DEI ไม่ได้จำกัดแค่ในนโยบายองค์กรเท่านั้น ที่แก่นของมันคือการขยายโอกาสให้แก่กลุ่มที่ถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในสังคมอเมริกัน ในมุมมองที่กว้างขึ้น การปฏิรูปทางสังคมในศตวรรษที่ 20 หลายอย่างก็อาจถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง DEI ที่ยาวนาน

พิจารณาจากด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา เราจะพบว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งปฏิเสธไม่รับนักศึกษาหญิงจนถึงช่วงทศวรรษ 1960-1970 มหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย Ivy League แห่งสุดท้ายที่เปิดรับนักศึกษาหญิง จึงเริ่มดำเนินการในปี 1982 เท่านั้น

นับตั้งแต่มีนโยบาย Affirmative Action และการผลักดันเรื่องความเสมอภาค ผู้หญิงไม่ได้แค่ลดช่องว่างทางเพศในการศึกษาเท่านั้น แต่ยังสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษามากกว่าผู้ชายในทุกกลุ่มเชื้อชาติ DEI ส่งผลดีโดยเฉพาะกับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงผิวขาว ในการเข้าถึงตลาดแรงงานและโอกาสทางการศึกษาที่ดีขึ้น

ในทำนองเดียวกัน การผลักดันให้ยุติการแบ่งแยกเชื้อชาติในมหาวิทยาลัยนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของจำนวนนักศึกษาผิวดำอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 125% ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 สูงกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตระดับชาติถึงสองเท่า การเปิดประตูมหาวิทยาลัยให้คนหลากหลายเข้าไปได้มากขึ้นทำให้การลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัยทั่วสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่านับตั้งแต่ปี 1965

แม้จะมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตนี้ แต่การขยายโอกาสทางการศึกษาก็มีบทบาทสำคัญอย่างแน่นอน และประชากรที่มีการศึกษาดีขึ้นก็ส่งผลต่อการเพิ่มผลิตภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ

การอพยพและประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

พระราชบัญญัติคนเข้าเมืองปี 1965 (Immigration and Nationality Act of 1965) ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจนของผลกระทบเชิงบวกของ DEI กฎหมายนี้ยกเลิกโควตาเชื้อชาติและสัญชาติที่มีอยู่เดิม ทำให้มีการอพยพเข้ามาของกลุ่มประชากรที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงจากทวีปเอเชีย แอฟริกา ยุโรปตอนใต้และตะวันออก และลาตินอเมริกา

ผู้อพยพจำนวนมากเหล่านี้มีการศึกษาระดับสูง และการมาของพวกเขาได้เพิ่มผลิตภาพและนวัตกรรมของสหรัฐอเมริกาอย่างเห็นได้ชัด ในท้ายที่สุด เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีความสามารถในการทำกำไรและผลิตภาพที่ดีขึ้นจากการมีผู้อพยพที่มีทักษะเข้ามาทำงานในประเทศ

ต้นทุนของ DEI: ราคาที่ต้องจ่าย

แม้ว่า DEI จะสร้างผลตอบแทนให้กับหลายธุรกิจและสถาบัน แต่ก็มีต้นทุนที่จับต้องได้เช่นกัน ในปี 2020 ภาคธุรกิจของสหรัฐอเมริกาใช้จ่ายประมาณ 7.5 พันล้านดอลลาร์กับโครงการ DEI และในปี 2023 รัฐบาลกลางใช้งบประมาณมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในโครงการ DEI รวมถึง 38.7 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ และอีก 86.5 ล้านดอลลาร์จากกระทรวงกลาโหม

การเปลี่ยนแปลงในยุคทรัมป์

ปี 2025 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาน่าจะใช้งบประมาณกับ DEI น้อยลงอย่างมาก หนึ่งในคำสั่งแรก ๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองคือการลงนามในคำสั่งผู้บริหารที่ห้ามไม่ให้หน่วยงานรัฐบาลกลางใช้แนวปฏิบัติ DEI ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายคำสั่งต่อต้าน DEI ที่กำลังเผชิญการท้าทายทางกฎหมายในศาลต่าง ๆ

ขณะนี้มีมากกว่า 30 รัฐที่ได้เสนอหรือบังคับใช้กฎหมายเพื่อจำกัดหรือยกเลิก DEI โดยสิ้นเชิง แนวคิดหลักในนโยบายเหล่านี้คือความเชื่อที่ว่าความหลากหลายทำให้มาตรฐานลดลง และเป็นการแทนที่ระบบคุณธรรมที่ยึดถือผลงานด้วยความธรรมดาที่มุ่งเน้นเฉพาะเชื้อชาติและเพศ

ข้อมูลวิจัยที่โต้แย้ง

แต่มีงานวิจัยจำนวนมากที่โต้แย้งข้อกล่าวหาที่ว่า DEI ทำให้มาตรฐานลดลง ตัวอย่างเช่น รายงานของ McKinsey & Company ที่กล่าวถึงข้างต้นพบว่า บริษัทที่มีความหลากหลายทางเพศและชาติพันธุ์สูงกว่ามีแนวโน้มที่จะมีผลประกอบการทางการเงินดีกว่าบริษัทที่มีความหลากหลายน้อยที่สุดอย่างน้อย 39%

ความกังวลว่า DEI ในการศึกษา STEM จะนำไปสู่การลดมาตรฐานก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยที่เชื่อถือได้ ตรงกันข้าม นักวิชาการจำนวนมากกลับชี้ให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำด้านผลการเรียนมักมีสาเหตุมาจากอคติที่ฝังอยู่ในตัวหลักสูตรเองมากกว่าจะเป็นเรื่องของความสามารถ

ความกังวลด้านกฎหมาย

กระนั้น ความกังวลด้านกฎหมายเกี่ยวกับ DEI ก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมกัน (EEOC) และกระทรวงยุติธรรมได้ออกคำเตือนให้นายจ้างระวังว่าโครงการ DEI บางประเภทอาจละเมิดกฎหมาย Title VII แห่งพระราชบัญญัติสิทธิพลเมืองปี 1964

หลักฐานจากเรื่องเล่าและคดีความหลายกรณีชี้ว่า ข้อกล่าวหาเลือกปฏิบัติย้อนกลับ (Reverse Discrimination) โดยเฉพาะจากชายผิวขาว กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคาดว่าศาลฎีกาอาจลดภาระในการพิสูจน์ของผู้ร้องในคดีเหล่านี้ ซึ่งอาจทำให้การฟ้องร้องเรื่อง DEI เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม

ประเด็นนี้ยังไม่ชัดเจนในทางกฎหมาย แต่ในระหว่างที่กระบวนการพิจารณาคดียังดำเนินอยู่ ผู้หญิงและคนผิวสีจะยังคงต้องแบกรับภาระงานอาสาสมัครที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของโครงการ DEI ขององค์กรต่าง ๆ อยู่ต่อไป รูปแบบนี้เองที่ทำให้เกิดคำถามด้านความเสมอภาคภายใน DEI เอง

อนาคตของ DEI: ความท้าทายที่รออยู่

ความกลัวด้านประชากรศาสตร์

ความกลัวต่อ DEI ของผู้คนบางส่วนมีรากฐานมาจากความวิตกด้านการเปลี่ยนแปลงประชากร นับตั้งแต่สำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐอเมริกาคาดการณ์ในปี 2008 ว่าคนผิวขาวที่ไม่ใช่ชาวฮิสแปนิกจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศภายในปี 2042 สื่อมวลชนทั่วประเทศก็ยิ่งกระพือความกลัวของคนผิวขาวว่ากำลังจะถูก "แทนที่" (Replacement)

งานวิจัยระบุว่าชายผิวขาวจำนวนมากมองการเปลี่ยนแปลงนี้ว่าเป็นวิกฤตด้านอัตลักษณ์และความเป็นชาย โดยเฉพาะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เช่น การลดลงของงานสายแรงงาน (Blue-collar Jobs) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยที่แสดงว่าคนอเมริกันผิวขาวมีแนวโน้มเชื่อว่านโยบาย DEI ส่งผลเสียต่อชายผิวขาวมากกว่าหญิงผิวขาว

ช่องว่างที่ยังคงมีอยู่

ขณะเดียวกัน แม้จะมีโครงการ DEI มากมาย ผู้หญิงและคนผิวสีก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะอยู่ในภาวะว่างงานแฝงและยากจนมากกว่า แม้จะมีการศึกษาสูง ช่องว่างค่าจ้างระหว่างเพศยังคงเป็นปัญหาที่ชัดเจน ในปี 2023 ผู้หญิงที่ทำงานเต็มเวลามีรายได้เฉลี่ยต่อสัปดาห์อยู่ที่ 1,005 ดอลลาร์ เทียบกับ 1,202 ดอลลาร์ของผู้ชาย หรือเท่ากับ 83.6% ของรายได้ผู้ชาย

หากคิดในช่วงเวลา 40 ปีของการทำงาน ช่องว่างนี้เท่ากับรายได้ที่หายไปหลายแสนดอลลาร์สำหรับผู้หญิงแต่ละคน สำหรับผู้หญิงผิวดำและผู้หญิงเชื้อสายลาตินา ช่องว่างยิ่งแย่ลงไปอีก โดยแหล่งข้อมูลหนึ่งประเมินว่าความสูญเสียรายได้ตลอดชีวิตการทำงานอยู่ที่ 976,800 ดอลลาร์ และ 1.2 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ

ต้นทุนของการเหยียดเชื้อชาติ

การเหยียดเชื้อชาติก็สร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่มหาศาลเช่นกัน การวิเคราะห์ของธนาคาร Citi ในปี 2020 พบข้อมูลที่น่าตกใจว่าการเหยียดเชื้อชาติในระบบต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาสูญเสียรายได้ไป 16 ล้านล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลมาก

การวิเคราะห์เดียวกันยังพบว่า หากสามารถแก้ไขความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ได้ จะช่วยเพิ่มค่าจ้างของชาวผิวดำได้อีก 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มรายได้ตลอดชีวิตอีก 113,000 ล้านดอลลาร์จากการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่มากขึ้น และสร้างรายได้ทางธุรกิจอีก 13 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมสร้างงานใหม่ปีละ 6.1 ล้านตำแหน่ง

บทสรุป: ทางเลือกของอเมริกา

จากข้อมูลและการวิเคราะห์ที่นำเสนอข้างต้น เห็นได้ชัดว่า DEI เป็นประเด็นที่ซับซ้อนมากกว่าที่หลายคนเข้าใจ ไม่ใช่เพียงแค่การถกเถียงทางการเมืองหรือวัฒนธรรม แต่เป็นเรื่องที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้อย่างชัดเจน

ผลงานวิจัยส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่า DEI สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ บริษัทที่มีความหลากหลายมีผลประกอบการดีกว่า การเปิดโอกาสทางการศึกษาทำให้เศรษฐกิจเติบโต และการยุติการเลือกปฏิบัติจะช่วยปลดปล่อยศักยภาพทางเศรษฐกิจที่มหาศาล

ในขณะเดียวกัน DEI ก็มีต้นทุนและความท้าทายที่ต้องพิจารณา ทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ความกังวลด้านกฎหมาย และความขัดแย้งทางสังคมที่เกิดขึ้น ความสำเร็จของ DEI จึงขึ้นอยู่กับการออกแบบและดำเนินการที่รอบคอบ โปร่งใส และเป็นธรรม

สำหรับอนาคต ประเด็น DEI จะยังคงเป็นส่วนสำคัญของการเมืองและเศรษฐกิจอเมริกา การหาจุดสมดุลระหว่างการส่งเสริมความหลากหลายและการรักษาความยุติธรรมสำหรับทุกคนจะเป็นความท้าทายสำคัญที่สังคมอเมริกันต้องร่วมกันแก้ไข

ในท้ายที่สุด DEI ไม่ใช่แค่นโยบายหรือโครงการ แต่เป็นการทดสอบว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถสมดุลระหว่างอุดมการณ์ความเสมอภาคและความยุติธรรม กับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและสังคมได้หรือไม่ คำตอบที่อเมริกาเลือกจะส่งผลกระทบต่อทิศทางของประเทศในทศวรรษที่จะมาถึง

This topic was modified 2 months ago by supachai
 
Posted : 04/06/2025 10:49 am
Share: