Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

Notifications
Clear all

วิกฤตภาษีศุลกากรสหรัฐสะเทือนเศรษฐกิจโลก ไทยเผชิญความท้าทายรุนแรงจากนโยบาย "America First"

1 Posts
1 Users
0 Reactions
22 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 5484
Illustrious Member
Topic starter
 

การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในวาระที่สอง พร้อมนโยบาย "America First" ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ส่งคลื่นกระแทกรุนแรงต่อระบบการค้าโลก โดยเฉพาะประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก กำลังเผชิญกับผลกระทบอย่างไม่เคยมีมาก่อน จากมาตรการภาษีศุลกากรที่หลากหลายและครอบคลุมสินค้าหลักเกือบทั้งหมด

นโยบาย "America First" กลับมาแกว่งอำนาจ

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในวาระที่สอง นโยบาย "America First" ยังคงเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา วัตถุประสงค์หลักคือการคุ้มครองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติ โดยเฉพาะการลดภาวะการขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก

มาตรการทางภาษีศุลกากรได้รับการนำมาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการปรับสมดุลการค้า ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไม่เพียงแต่ต่อประเทศคู่ค้า แต่ยังรวมถึงเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเองและระบบเศรษฐกิจโลกโดยรวม

นโยบายนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวทางการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ จากการเปิดเสรีสู่การคุ้มครองนิยม ซึ่งกำลังสร้างความไม่แน่นอนและความตึงเครียดในตลาดโลก

ไทยเผชิญพายุใหญ่ - ผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจการค้า

ความพึ่งพาการส่งออกสูงสุดในอาเซียน

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ เนื่องจากเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าเป็นอย่างมาก โดยมีสัดส่วนการส่งออกต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงถึง 54% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี นับตั้งแต่ปี 2530 โดยในปี 2567 การส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐมีสัดส่วนสูงถึง 18.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียนหลายประเทศ ยกเว้นเวียดนามที่มีการพึ่งพาสหรัฐสูงถึง 29.7%

การคาดการณ์ที่น่าวิตก

ผลกระทบที่รุนแรงนี้ปรากฏชัดเจนในการปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย เมื่อเดือนเมษายน 2568 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลงมากที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียน เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์ครั้งก่อนในเดือนมกราคม เหลือขยายตัวเพียง 1.8% เท่านั้น

การปรับลดคาดการณ์นี้สะท้อนถึงความกังวลของนักเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศต่อความสามารถของไทยในการรับมือกับความไม่แน่นอนทางการค้าที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบต่อเนื่องที่อาจเกิดขึ้นในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ

สามมาตรการที่กำลังทำลายการค้าไทย

1. มาตรการภาษีศุลกากรภายใต้มาตรา 232

มาตรการแรกที่ส่งผลกระทบรุนแรง คือ การเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 25% ภายใต้มาตรา 232 ซึ่งครอบคลุมสินค้า 3 กลุ่มหลัก โดยใช้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ

กลุ่มแรก คือ ผลิตภัณฑ์จากเหล็กหรือเหล็กกล้า และของที่ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตหลายสาขา

กลุ่มที่สอง คือ ผลิตภัณฑ์จากอะลูมิเนียม และของที่ทำด้วยอะลูมิเนียม ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

กลุ่มที่สาม คือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2568 และชิ้นส่วนรถยนต์บางประเภท ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ครอบคลุมเครื่องยนต์ เกียร์และชิ้นส่วนระบบขับเคลื่อน ชิ้นส่วนระบบไฟฟ้า กระจกรถ ยางล้อ พวงมาลัย และอื่นๆ

2. มาตรการภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariff)

มาตรการที่สองที่รุนแรงยิ่งกว่า คือ การเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบแทนจากสินค้าไทยเพิ่มอีก 36% ซึ่งครอบคลุมสินค้าเกือบทุกรายการ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีการชะลอการบังคับใช้เป็นเวลา 90 วัน และลดอัตราลงเหลือ 10% ในช่วงชั่วคราวระหว่างวันที่ 10 เมษายน ถึง 9 กรกฎาคม 2568

การชะลอการบังคับใช้นี้ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับภาครัฐไทยในการเจรจาหาทางออกกับสหรัฐ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในกำหนดเวลา สินค้าไทยจะต้องเผชิญกับอัตราภาษี 36% เต็มอัตรา ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการส่งออกในครึ่งหลังของปี 2568

3. สินค้าที่ได้รับการยกเว้น

มีสินค้าบางประเภทที่ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติม และยังคงใช้อัตราภาษีเดิม ได้แก่ ทองแดง ยาและเวชภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากไม้ แร่ธาตุหายาก พลังงาน และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางรายการ อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ สมาร์ทโฟน แผงวงจร และเซมิคอนดักเตอร์

ภาพรวมผลกระทบ - ตัวเลขที่น่าตกใจ

สัดส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบ

การวิเคราะห์ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ พบว่า สินค้าส่งออกของไทยที่ถูกใช้มาตรการต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนรวมสูงถึง 87% ของการส่งออกไปยังสหรัฐ

เมื่อแยกตามประเภทมาตรการ พบว่า สินค้าที่ถูกใช้ Reciprocal Tariff มีสัดส่วนสูงสุดที่ 62% สินค้าที่ถูกใช้มาตรการตามมาตรา 232 มีสัดส่วน 25% และสินค้าที่ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมมีสัดส่วนเพียง 13%

การจัดระดับผลกระทบ

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าได้จัดทำการวิเคราะห์ผลกระทบแบบ 3 มิติ โดยพิจารณาจาก สัดส่วนของมูลค่าส่งออกที่โดนมาตรการ สัดส่วนการพึ่งพาสหรัฐเป็นตลาดส่งออก และสัดส่วนต่อมูลค่าส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐทั้งหมด

หมวดสินค้าที่ได้รับผลกระทบสูงที่สุด

เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า ถือเป็นหมวดสินค้าที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด เนื่องจากมีสินค้าถูกใช้มาตรการทั้งตามมาตรา 232 และ Reciprocal Tariff

เครื่องจักรกลและส่วนประกอบมีการพึ่งพาตลาดสหรัฐสูงถึง 28% และเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 2 ไปยังสหรัฐ คิดเป็น 25% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้ามีการพึ่งพาตลาดสหรัฐสูงถึง 35% และเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ไปยังสหรัฐ คิดเป็น 32% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ที่น่าสนใจคือ หมวดเครื่องจักรกลทุกสินค้าถูกใช้มาตรการ ในขณะที่เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้ายังมีบางสินค้าที่ไม่ถูกมาตรการ

หมวดสินค้าที่ได้รับผลกระทบสูงมาก

ยางและของทำด้วยยาง เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์จากเหล็กหรือเหล็กกล้า ชิ้นส่วนรถยนต์ ของเล่น และผลิตภัณฑ์โลหะเบ็ดเตล็ด ล้วนแต่เป็นหมวดสินค้าที่มีการพึ่งพาตลาดสหรัฐสูงกว่า 20% และมีสินค้าภายใต้หมวดถูกใช้มาตรการอย่างกว้างขวาง

หมวดสินค้าที่ได้รับผลกระทบระดับสูง

เครื่องแต่งกาย ของปรุงแต่งจากผักและผลไม้ อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากหนัง และผลิตภัณฑ์เซรามิก เป็นหมวดสินค้าที่ถูกใช้ Reciprocal Tariff และมีการพึ่งพาสหรัฐมากกว่า 20% ของมูลค่าส่งออกในหมวดนั้นๆ

สหรัฐกับผลกระทบที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

เป้าหมายเบื้องต้นของนโยบาย

แม้ว่าสหรัฐจะตั้งเป้าหมายไปที่การปฏิรูปโครงสร้างการผลิต การดึงดูดการลงทุนกลับสู่อเมริกา และการสร้างรายได้เพื่อบรรเทาภาระหนี้สาธารณะ แต่การปรับขึ้นอัตราภาษีกลับส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐเอง

ผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

การเพิ่มอัตราภาษีส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าและต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ และกลายเป็นภาระหนักสำหรับผู้บริโภคชาวอเมริกัน

ปัญหานี้ยิ่งตอกย้ำปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดย IMF คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐในปี 2568 จะอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐ

การประเมินรายได้จากภาษีศุลกากร

ในด้านรายได้ของรัฐบาล แม้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษีศุลกากร แต่การศึกษาจาก Wharton School แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียประเมินว่า รายได้ของสหรัฐจากการจัดเก็บภาษีจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4-5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 4.5-5.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีข้างหน้า

ผลกระทบในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำผลกระทบทางลบมาประเมินเปรียบเทียบ พบว่ามีผลเสียหายมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ การศึกษาของสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สันในระยะยาว 10 ปี ระบุว่า แม้สหรัฐจะมีรายได้จากการเก็บภาษีเข้าสู่คลังเพิ่ม 2.5-2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่รายได้นี้จะถูกลดทอนด้วยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการเก็บรายได้จากภาษีอื่นๆ ที่ลดลง โดยรายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะลดลง 6.1 แสนล้านถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และรายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลจะลดลง 3.5-7.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

ล่าสุด IMF ได้ลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปี 2568 เหลือขยายตัวเพียง 1.8%

ระบบเศรษฐกิจโลกสั่นคลอน

สหรัฐในฐานะผู้นำเข้าอันดับหนึ่งของโลก

มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบเศรษฐกิจโลกโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสหรัฐเป็นผู้นำเข้าสินค้าอันดับหนึ่งของโลก โดยมีสัดส่วนการนำเข้าสูงถึง 14% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งโลก

ตำแหน่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญนี้ทำให้การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐส่งผลกระเทือนไปทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สงครามการค้าสหรัฐ-จีน

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีการตอบโต้ด้วยภาษีในระดับสูงมาก นำไปสู่การชะลอตัวของปริมาณการค้าและเศรษฐกิจโลกอย่างเป็นระบบ รวมถึงการชะลอการลงทุนและการสั่งซื้อสินค้าที่ส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตทั่วโลก

ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนแล้ว คือ ความปั่นป่วนของห่วงโซ่อุปทานโลก ผู้ประกอบการทั่วโลกต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่การผลิตใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการค้า

ข้อมูลการจองตู้คอนเทนเนอร์สะท้อนความจริง

การสำรวจข้อมูลการจองตู้คอนเทนเนอร์ช่วงมีนาคม-เมษายน 2568 โดยบริษัท VIZION ผู้ให้บริการฐานข้อมูลการจองตู้คอนเทนเนอร์แบบ Real-Time พบว่า หลังการประกาศ Reciprocal Tariff และการตอบโต้ทางการค้าระหว่างกัน การส่งออกของสหรัฐที่สะท้อนจากยอดจองตู้คอนเทนเนอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากท่าเรือสำคัญ อาทิ ท่าเรือ Tacoma ของรัฐวอชิงตัน ท่าเรือ Los Angeles ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และท่าเรือ Savannah ของรัฐจอร์เจีย ซึ่งใช้ส่งออกถั่วเหลือง ข้าวโพด เนื้อวัว เนื้อหมู และอาหารแปรรูปไปยังจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

การยกเลิกคำสั่งซื้อจากจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สำคัญ ส่งผลกระทบต่อสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เยื่อไม้ ผลิตภัณฑ์กระดาษ และฝ้าย

ในทางกลับกัน การนำเข้าของสหรัฐก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งบ่งชี้จากจำนวนเรือบรรทุกสินค้าขาเข้าที่ลดลง เนื่องจากธุรกิจอเมริกันยกเลิกคำสั่งซื้อจากจีนด้วยสาเหตุที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้นได้

การคาดการณ์การค้าโลก

องค์การการค้าโลก (WTO) คาดการณ์ว่าปริมาณการค้าโลกในปี 2568 จะหดตัว 0.2% ขณะที่ IMF ลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปี 2568 เหลือ 2.8% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.3%

แนวทางการปรับตัวและหาทางออก

ยุทธศาสตร์การกระจายความเสี่ยง

ในบริบทของความตึงเครียดด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยในฐานะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสูง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมียุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สามารถปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่นต่อความไม่แน่นอน

สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์เน้นย้ำอยู่เสมอ คือ การกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดส่งออกอื่นๆ ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง และการใช้เครื่องมือที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว อย่างข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การเปิดตลาดใหม่

ภาครัฐมุ่งเน้นการเปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการ ผ่านทั้งกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและการเจรจาทำข้อตกลงการค้าเสรี สำหรับปี 2568 ไทยได้วางแผนการเจรจา FTA หลายฉบับที่สำคัญ

ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (EU) จะเป็นการเปิดตลาดขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงและมีมาตรฐานการค้าที่เป็นที่ยอมรับระหว่างประเทศ

ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-เกาหลีใต้ จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) จะเป็นประตูสู่ตลาดตะวันออกกลางที่มีศักยภาพสูง

ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา จะช่วยขยายตลาดในทวีปอเมริกาเหนือนอกเหนือจากสหรัฐ

หากการเจรจาทั้งหมดบรรลุผลสำเร็จ จะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและลดแรงกดดันจากการพึ่งพาตลาดส่งออกหลัก

การรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐ

ขณะเดียวกัน ตลาดสหรัฐยังคงมีความสำคัญต่อไทยอย่างมาก ภาครัฐจึงพยายามเร่งหาแนวทางการเจรจาเพื่อปรับสมดุลการค้าระหว่างสองประเทศและสร้างผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย เพื่อลดแรงกดดันจากอัตราภาษีให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว

ในระยะยาว ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน โดยการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และภาคบริการที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง

การส่งเสริมให้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศมากขึ้น และลดการพึ่งพาวัตถุดิบและทรัพยากรจากภายนอก จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดโลก

การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การยกระดับทักษะแรงงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

บทสรุป

วิกฤตภาษีศุลกากรครั้งนี้แม้จะสร้างความท้าทายอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญในการปรับโครงสร้างและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ การปรับตัวอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การกระจายความเสี่ยง และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศใหม่ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการผ่านพ้นวิกฤตนี้และสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคต

การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้

This topic was modified 2 months ago by supachai
 
Posted : 31/05/2025 10:36 am
Share: