เมื่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาออกคำสั่งระงับมาตรการภาษีศุลกากรที่ครอบคลุมที่สุดในประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่าการใช้อำนาจฉุกเฉินเกินขอบเขตกฎหมาย ก่อนที่ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางจะระงับคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม สถานการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่อาจสะเทือนระบบการค้าโลกและสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย
ความขัดแย้งภายในที่ลุกลามสู่วิกฤตระดับชาติ
การต่อสู้ระหว่างสามอำนาจ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การโต้เถียงทางกฎหมายธรรมดา แต่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างสามอำนาจหลักของระบบประชาธิปไตยอเมริกัน ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ศ.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และที่ปรึกษาศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า "ความขัดแย้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเชิงนโยบายอีกต่อไป แต่ได้ขยายเข้าสู่ระบบราชการและกลไกตุลาการ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญในการบริหารประเทศ"
การบริหารประเทศภายใต้ความขัดแย้งภายในองค์กรรัฐเองจะยิ่งทำให้สถานการณ์ยุ่งยากมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความขัดแย้งนี้มีความรุนแรงยิ่งกว่าความขัดแย้งกับต่างประเทศ เช่น สงครามการค้ากับจีน เนื่องจากเป็นความขัดแย้งที่ลึกและฝังรากในสังคมอเมริกัน
กระบวนการทางกฎหมายที่ยังไม่สิ้นสุด
ขณะนี้แม้กระบวนการทางศาลจะยังไม่สิ้นสุด แต่คำสั่งศาลชั้นต้นได้มีการวินิจฉัยไว้ก่อนแล้ว ศาลอุทธรณ์ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเปลี่ยนแปลงคำตัดสินเดิมหรือไม่ โดยต้องใช้เวลาในการไต่สวนเพิ่มเติม ซึ่งหมายความว่ากระบวนการยังไม่สิ้นสุด และยังไม่มีความแน่นอนว่าจะยกเลิกหรือจะดำเนินการตามคำสั่งเดิมจากศาลชั้นต้น
สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง อธิบายว่า "การที่ศาลอุทธรณ์ให้พักคำตัดสินศาลชั้นต้นไว้ก่อน ไม่ได้หมายความว่าที่พิพากษาออกมาจบไป แต่เป็นการพักไว้ก่อน เพื่อรอความชัดเจนในการพิจารณาใหม่อีกครั้งวันที่ 9 มิถุนายนนี้"
มาตรการภาษีที่ถูกโต้แย้ง: ขอบเขตและผลกระทบ
การแยกแยะระหว่างถูกและผิดกฎหมาย
ไม่ใช่ทุกมาตรการภาษีของทรัมป์ที่ถูกศาลตัดสินว่าผิดกฎหมาย การปรับขึ้นภาษีเหล็ก รถยนต์ และอะลูมิเนียม ยังคงถูกต้องตามกฎหมาย แต่มาตรการที่มีการ "เล่นงาน" หลายประเทศผ่านอัตราภาษีสูงๆ นั้นถือว่าผิดกฎหมายและผิดหลักการ
ทรัมป์สามารถใช้มาตรา 232 ของกฎหมายว่าด้วยการขยายการค้าที่ให้อำนาจในการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศหากมองว่าขัดกับความมั่นคงของประเทศ รวมถึงมาตรา 301 ที่อนุมัติให้สหรัฐเล่นงานประเทศอื่นในกรณีที่มองว่าค้าขายระหว่างกันไม่เป็นธรรม
ทางเลือกของทรัมป์หากถูกสั่งห้าม
หากถูกสั่งห้ามจริง ทรัมป์ยังสามารถใช้วิธีอื่นเล่นเกมได้ผ่านกฎหมายตัวใหม่ที่เพิ่งออกมา หรือออกกฎหมายใหม่สนับสนุนการทำงานของตัวเองได้ จากการประเมินบุคลิกภาพของทรัมป์ "ไม่ว่าจะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ต้องใช้ทุกวิธีการทำให้สิ่งที่ตัวเองตั้งใจดำเนินการเป็นผลให้ได้"
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในตลาด
สหรัฐในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก
สหรัฐเป็นประเทศมหาอำนาจโลก เวลาสหรัฐมีปัญหา จะไม่ใช่เป็นปัญหาภายในของเขาอย่างเดียว แต่กระทบไปถึงในระดับนานาชาติและประเทศอื่นๆ ด้วย เพราะสหรัฐเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก ที่หลายประเทศยังคงต้องพึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐเป็นศูนย์กลางหลัก ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การลงทุน หรือการเงิน
ผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน
ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกที่อาจเกิดความผันผวน เนื่องจากจะทำให้นักลงทุนจะไม่กล้าเสี่ยงลงทุนหากยังไม่มีความชัดเจนในทิศทางของรัฐบาลสหรัฐ ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนระยะยาว เช่น การลงทุนในเครื่องจักรหรือโรงงาน ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะคุ้มทุน
สิ่งที่นักลงทุนและผู้ประกอบการทั่วโลกต้องการมากที่สุดตอนนี้คือความชัดเจน หากศาลปกครองสูงสุดตัดสินว่า รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถใช้มาตรการภาษีแบบกว้างได้อีก ผู้ประกอบการก็จะสามารถวางแผนได้ดีขึ้น ระบบการผลิตจะกลับมาเป็นปกติ
ปัญหาทางการเงินการคลังของสหรัฐ
สถานการณ์นี้ยังเชื่อมโยงกับปัญหาทางการเงินการคลังของสหรัฐเอง การออกกฎหมายของบประมาณของทรัมป์เพิ่มขึ้นประมาณ 3 ล้านล้านบาท หากหาเงินก้อนนี้มาใช้ไม่ได้ จะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐขยายตัวจากทุกวันนี้ 98% ต่อจีดีพี มาเป็น 140% ซึ่งเป็นการสร้างปัญหาเรื่องกรอบวินัยทางการเงินการคลัง
นอกจากนี้ มูดี้ส์มีการลดเรตติ้งของสหรัฐลง ทำให้การออกพันธบัตรของสหรัฐมีต้นทุนสูงขึ้น อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่นักลงทุนต่างๆ เริ่มไม่ไว้ใจในพันธบัตรของสหรัฐ
กรอบเวลาและแนวโน้มการตัดสินของศาล
การประเมินกรอบเวลา
หากพิจารณาตามกระบวนการของศาล ควรจะใช้เวลาไม่นาน และอย่าให้เกินไปถึง 6 เดือน หรือถึง 1 ปี เพราะหากช้าเกินไปจะยิ่งสร้างความเสียหาย เนื่องจากประเด็นได้รับความสนใจจากสาธารณชนรวมถึงทั่วโลกอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะวงการธุรกิจ
ขั้นตอนต่อไปในกระบวนการศาล
จากนี้มีอยู่ 2 ทางเลือกคือ 1.ให้พักต่อได้ และ 2.นำเรื่องเข้าไปให้ศาลสูงของสหรัฐตัดสิน โดยหากออกมาในทางบวกก็เท่ากับทรัมป์ทำถูกต้อง สามารถทำต่อได้ แต่จะใช้เวลานานมากน้อยเท่าใดยังไม่ชัดเจน
หากนำเข้าสู่ศาลสูงมองว่าโอกาสที่ทรัมป์จะชนะมีสูงขึ้น เพราะที่ผ่านมาศาลสูงของสหรัฐค่อนข้างเอนเอียงในด้านทรัมป์ และแม้จะถูกมองว่าผิดจากศาลออกมา ก็สามารถออกกฎหมายใหม่ และมีกฎหมาย 2 ฉบับที่เอื้อให้สามารถทำได้อยู่ดี
ผลกระทบต่อประเทศจีนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โอกาสและความเสี่ยงสำหรับจีน
ในส่วนของประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งหลักของสหรัฐในสงครามการค้า ช่วงความผันผวนตรงนี้ จีนอาจมองเห็นโอกาสในสถานการณ์นี้ โดยอาจใช้ช่องว่างมาขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวัง เพราะต่อให้จะไม่มีมาตรการภาษี หรือมีการเปลี่ยนแปลงออกไป สหรัฐก็อาจหันไปใช้มาตรการอื่น
เช่น การควบคุมเทคโนโลยีหรือการจำกัดการส่งออกสินค้าจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นวิธีที่เคยใช้มาแล้วทั้งในยุครัฐบาลทรัมป์ 1.0 และรัฐบาลยุคนายโจ ไบเดน การที่สหรัฐใช้มาตรการทางเทคโนโลยีแทนมาตรการทางภาษีอาจเป็นแนวโน้มใหม่ที่ต้องจับตามอง
แนวทางรับมือและคำแนะนำสำหรับประเทศไทย
การวางแผนระยะสั้นและระยะยาว
สำหรับเศรษฐกิจไทย ภาคธุรกิจไทยไม่ควรเร่งรีบตัดสินใจใดๆ โดยเฉพาะการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น การซื้อเครื่องจักรหรือขยายโรงงาน เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่แน่นอนพอ เพราะเรายังประเมินอะไรไม่ได้มาก ต้องดูว่าศาลสูงสุดของสหรัฐจะวางบรรทัดฐานอย่างไร
ความเสี่ยงจากการตอบสนองแบบเร่งด่วน
สิ่งที่น่ากังวลคือพฤติกรรมของผู้ประกอบการไทยบางรายที่พยายามเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ อาจสร้างความบิดเบี้ยวให้กับระบบเศรษฐกิจ เช่น การสต๊อกสินค้าเกินความจำเป็น หรือผลิตล่วงหน้าเกินกว่าความต้องการจริง ซึ่งอาจสร้างภาระในระยะยาว และเสี่ยงต่อการวางแผนผิดพลาดเพราะสถานการณ์สามารถพลิกผันได้ตลอด
ปัญหาการพึ่งพาตลาดสหรัฐมากเกินไป
การที่ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐมากเกินไปเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนที่ประเทศไทยต้องรีบจัดการ เพราะหากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น สหรัฐใช้มาตรการกีดกันการค้าอย่างเฉียบพลัน หรือมีความขัดแย้งทางการเมืองภายใน ก็อาจส่งผลกระทบหนัก
โดยเฉลี่ยไทยส่งออกไปสหรัฐมากกว่า 80% ของมูลค่ารวม ซึ่งถือว่าเยอะมาก ถ้าตลาดนี้ล้ม ไทยจะลำบากทันที ดังนั้นไทยจึงจำเป็นต้องกระจายตลาด หันไปหาตลาดเอเชีย แอฟริกา หรือตะวันออกกลางให้มากขึ้น
ยุทธศาสตร์ระยะยาวสำหรับรัฐบาลไทย
การวางแผนเชิงรุก
รัฐบาลไทยยังคงต้องวางแผนเชิงรุกในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ โดยต้องติดตามสถานการณ์ของสหรัฐอย่างใกล้ชิด และเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเอกชนผ่านข้อมูลและการสนับสนุนด้านยุทธศาสตร์
การเจรจาและการรักษาความสัมพันธ์
การเจรจาก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องวางแผนต่อ และหากได้คิวก็ต้องไปเจรจาเพราะถือว่าไทยยังมีความสัมพันธ์ทางการค้าอยู่กับสหรัฐ ประเทศไทยจึงต้องตั้งรับมือไว้ผ่านการเร่งเจรจาให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะข้อหลักๆ ที่ต้องการให้ไทยแก้ไข
การหาตลาดสำรองและการลดความเสี่ยง
ช่วงเวลานี้รัฐบาลไทยต้องคว้าโอกาสที่จะมองหาตลาดสำรองไว้ เช่น ในเอเชียหรือตะวันออกกลาง เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดหลัก สิ่งที่ต้องระวังคือ การรับมือกับสหรัฐแต่ต้องไม่กระทบกับจีน เพราะเป้าหมายของสหรัฐจริงๆ ต้องการเล่นงานจีน
การจัดการปัญหาสินค้าสวมสิทธิ
ประเทศไทยจึงต้องวางแผนรับมือกับสินค้าสวมสิทธิที่สหรัฐกังวล ทำการบ้านให้ครบ เพื่อแก้ไขให้ได้ โดยประเมินว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงมากกว่าเดิม หรือลดลงกว่าเดิมต่อเศรษฐกิจไทย เพียงแต่ชะลอเวลาไปเท่านั้น
ผลกระทบต่อเสถียรภาพระหว่างประเทศ
ความไม่แน่นอนในการเจรจาต่อรอง
สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้สร้างผลกระทบหลายด้าน ประการแรกคือ เกิดความไม่แน่นอนในการเจรจาต่อรอง ผู้ที่ต่อรองเริ่มไม่แน่ใจและไม่แน่นอนแล้วว่า ตกลงเป็นปัญหาความไม่แน่นอนในการใช้กฎหมายของสหรัฐเองหรือไม่ ทำให้อำนาจต่อรองของทรัมป์ลดลง
ความปั่นป่วนในตลาดการค้าและการลงทุน
ประการที่สอง สร้างความปั่นป่วน และไม่แน่นอนในตลาดการค้ารวม และภาคการลงทุนต่างๆ เพราะไม่รู้ว่าตกลงสิ่งที่ทรัมป์ทำอยู่จะมีผลได้จริงหรือไม่ และมีผลเมื่อไหร่ ซึ่งเรื่องนี้มีผลกระทบกับอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
บทสรุป: แนวโน้มและข้อเสนอแนะ
ความเป็นไปได้ในอนาคต
แม้สหรัฐอาจอ่อนแอลงผ่านสถานการณ์ในประเทศ แต่เราต้องไม่ประมาท เพราะเมื่อทรัมป์อ่อนแอลง จะยิ่งใช้พลังงานในการเล่นงานเพื่อแสดงออกมากขึ้น มองว่าไทยเองนั้นไม่จำเป็นต้องไปลงทุนหรือดำเนินนโยบายตามแนวทางของสหรัฐเสมอไป เพราะสถานการณ์ภายในของเขาก็เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน
ความไม่แน่นอนและการเตรียมพร้อม
ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้างแน่นอน สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมและการไม่ตัดสินใจเร่งรีบ โดยให้รอความชัดเจนจากกระบวนการทางกฎหมายที่ยังดำเนินอยู่
วิกฤตภาษีทรัมป์ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาภายในของสหรัฐ แต่เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อระบบการค้าโลกและเศรษฐกิจของทุกประเทศ การติดตามความคืบหน้าและการเตรียมความพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกภาคส่วน