กระทรวงการคลังเปิดเผยแผนยุทธศาสตร์การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมดิจิทัลในการปฏิรูประบบการเงินการคลัง มุ่งเป้าสร้างประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ยกระดับการให้บริการประชาชน และสร้างความโปร่งใสในการบริหารงาน
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานในทุกภาคส่วน กระทรวงการคลังได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการยกระดับประสิทธิภาพการทำงานในทุกกรมภายใต้สังกัด
การปฏิวัติระบบการคลังด้วยพลัง AI
เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การคลังไทยอย่างรากฐาน โดยเฉพาะในด้านการจัดเก็บภาษีที่ถือเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ความสามารถของ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลและการค้นหาแพทเทิร์นที่ซับซ้อนทำให้สามารถระบุพฤติกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างแม่นยำกว่าวิธีการแบบดั้งเดิม
การประยุกต์ใช้ AI ในการตรวจจับการหลีกเลี่ยงภาษีและการฉ้อโกงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ระบบสามารถวิเคราะห์รูปแบบการทำธุรกรรม ความผิดปกติในการรายงานรายได้ และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ เพื่อสร้างดัชนีความเสี่ยงที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถจัดลำดับความสำคัญในการตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการตรวจจับการฉ้อโกงแล้ว AI ยังมีบทบาทสำคัญในการประเมินความเสี่ยงของผู้เสียภาษี ระบบสามารถวิเคราะห์ประวัติการชำระภาษี พฤติกรรมการทำธุรกิจ และปัจจัยอื่นๆ เพื่อจัดกลุ่มผู้เสียภาษีตามระดับความเสี่ยง ทำให้การจัดสรรทรัพยากรในการตรวจสอบและกำกับดูแลเป็นไปอย่างเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
วิสัยทัศน์ของผู้นำกระทรวงการคลัง
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า "กระทรวงการคลังกำลังก้าวผ่านความท้าทายในยุคดิจิทัลด้วยการนำเทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการทำงานในทุกกรม ตั้งแต่การจัดเก็บภาษี การควบคุมสินค้า การตรวจการณ์ชายแดน ไปจนถึงการบริหารที่ราชพัสดุ"
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่การอัพเกรดเทคโนโลยี แต่เป็นการปฏิรูปกระบวนการทำงานอย่างครบวงจร กระทรวงมีเป้าหมายที่จะก้าวสู่ "ยุคดิจิทัลสมบูรณ์แบบ" โดยการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและการให้บริการประชาชน โดยมีข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อนองค์กร (Data-Driven Organization) และการสร้างบุคลากรให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล
การลงทุนในเทคโนโลยีและการพัฒนาบุคลากรถือเป็นก้าวสำคัญที่กำลังนำ "การคลังไทย" สู่การบริหารจัดการที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และพร้อมสำหรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่างแท้จริง
กรมสรรพากร: ผู้บุกเบิกระบบจัดเก็บภาษีดิจิทัล
กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานแรกที่เดินหน้านำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ในฐานะหน่วยงานหลักในการจัดเก็บภาษีรายได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กรมสรรพากรได้พัฒนาระบบดิจิทัลที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของการจัดเก็บภาษี
ระบบยื่นแบบและชำระภาษีออนไลน์ (E-filing & E-payment)
ระบบนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีในยุคดิจิทัล ผู้เสียภาษีสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบออนไลน์ ลดภาระการเดินทางและขั้นตอนที่ซับซ้อน การใช้งานระบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนและเวลาของผู้เสียภาษี แต่ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการคำนวณภาษี
ระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-invoicing) และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-receipt)
การพัฒนาระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศการจัดเก็บภาษีที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ระบบนี้ช่วยลดการใช้กระดาษ ลดความผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลด้วยมือ และสร้างฐานข้อมูลที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์และตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
ข้อมูลจากระบบ E-invoicing ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับระบบ AI ในการวิเคราะห์แพทเทิร์นการทำธุรกิจและตรวจจับความผิดปกติ ทำให้การกำกับดูแลและตรวจสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยง
กรมสรรพากรได้เริ่มนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงของการไม่ปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีหรือการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีไม่ถูกต้อง เริ่มจากการวิเคราะห์ใบกำกับภาษีและจะขยายไปใช้ในกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มขึ้น
ระบบ AI สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในเวลาอันสั้น และสามารถค้นหาแพทเทิร์นที่ซับซ้อนซึ่งมนุษย์อาจมองข้าม ช่วยให้สามารถระบุความเสี่ยงและดำเนินการตรวจสอบได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้ AI ยังช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ให้สามารถมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบกรณีที่มีความเสี่ยงสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กรมสรรพสามิต: การควบคุมสินค้าด้วยเทคโนโลยี
กรมสรรพสามิตเผชิญความท้าทายเฉพาะตัวในการจัดเก็บภาษี จากสินค้าและบริการที่มีความพิเศษ เช่น สุรา ยาสูบ น้ำมัน รถยนต์ และสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งมักเป็นเป้าหมายของการลักลอบและหลีกเลี่ยงภาษี การนำเทคโนโลยีมาใช้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมและตรวจสอบ
เทคโนโลยี QR Code ในการตรวจสอบสินค้า
การใช้เทคโนโลยี QR Code ที่ติดอยู่บนสินค้าสรรพสามิตเป็นนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบอย่างมาก เจ้าหน้าที่สามารถสแกน QR Code เพื่อตรวจสอบข้อมูลแหล่งที่มา การชำระภาษี สถานะของสินค้า และรายละเอียดอื่นๆ ได้ทันที ณ จุดตรวจสอบ
ระบบนี้ช่วยป้องกันสินค้าผิดกฎหมายและลดการหลีกเลี่ยงภาษีในห่วงโซ่อุปทาน โดยสร้างระบบการติดตามที่สามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่โรงงานผู้ผลิตจนถึงผู้บริโภคปลายทาง การใช้เทคโนโลยีนี้ยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจและลดโอกาสในการฉ้อโกง
ระบบการตรวจสอบแบบเรียลไทม์
การพัฒนาระบบการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของสินค้าสรรพสามิตได้อย่างต่อเนื่อง ระบบสามารถส่งสัญญาณเตือนเมื่อพบความผิดปกติหรือพฤติกรรมที่น่าสงสัย ทำให้การตอบสนองต่อปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
กรมศุลกากร: การยกระดับการตรวจการณ์ชายแดน
กรมศุลกากรทำหน้าที่เป็นด่านหน้าสำคัญในการควบคุมการนำเข้า-ส่งออกสินค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะเดียวกันก็ต้องสกัดกั้นสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าหลีกเลี่ยงภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีการตรวจคัดกรองสินค้าแบบไม่ทำลาย (Non-Intrusive Inspection - NII)
การใช้เครื่องเอกซเรย์ขนาดใหญ่และเทคโนโลยี NII อื่นๆ ช่วยให้สามารถตรวจสอบสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วน โดยไม่ต้องเปิดตรวจทั้งหมด เทคโนโลยีนี้ช่วยลดเวลาในการตรวจสอบอย่างมาก ขณะที่ยังคงความแม่นยำในการตรวจจับสินค้าผิดกฎหมาย
การใช้ NII ยังช่วยลดต้นทุนในการตรวจสอบทั้งของภาครัฐและเอกชน เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการขนถ่ายสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้การค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
ระบบวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Management System)
ระบบนี้ใช้ข้อมูลจากหลากหลายแหล่งและเกณฑ์ต่างๆ ในการประเมินความเสี่ยงของสินค้าแต่ละเที่ยว ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถพุ่งเป้าการตรวจสอบไปยังสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงได้อย่างแม่นยำ การจัดลำดับความสำคัญนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมาก โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด
ระบบยังสามารถเรียนรู้จากข้อมูลในอดีตเพื่อปรับปรุงความแม่นยำในการประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การป้องกันสินค้าผิดกฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการสืบสวน
การใช้เครื่องมือและระบบฐานข้อมูลขั้นสูงในการสืบหา ติดตาม และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายศุลกากรเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าสำคัญ ระบบสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เพื่อสร้างภาพรวมที่ชัดเจนของเครือข่ายการกระทำผิด
เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การสืบสวนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถติดตามผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิผลมากขึ้น
กรมธนารักษ์: การปฏิวัติการบริหารที่ราชพัสดุ
กรมธนารักษ์มีภารกิจในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุจำนวนมหาศาลทั่วประเทศ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการข้อมูลที่ดิน อาคาร สัญญาเช่า การใช้ประโยชน์ และการประเมินมูลค่า
ระบบฐานข้อมูลที่ราชพัสดุแบบครบวงจร
การพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ครอบคลุมทุกประเภทของที่ราชพัสดุช่วยให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีระบบและตรวจสอบได้ ระบบสามารถติดตามสถานะของที่ดินแต่ละแปลง การใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน ประวัติการเปลี่ยนแปลง และมูลค่าประเมิน
การมีข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบันช่วยลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ป้องกันการละเมิดการใช้ที่ราชพัสดุ และเพิ่มประสิทธิภาพในการนำที่ราชพัสดุไปใช้ประโยชน์ให้เกิดมูลค่าสูงสุด
ระบบ GIS และการวิเคราะห์เชิงพื้นที่
การใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ในการจัดการที่ราชพัสดุช่วยให้สามารถมองเห็นภาพรวมและรายละเอียดของที่ดินได้อย่างชัดเจน ระบบช่วยในการวางแผนการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม และสามารถวิเคราะห์ศักยภาพของที่ดินแต่ละแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาบุคลากรสู่ยุคดิจิทัล
ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และทักษะที่เหมาะสมไปด้วย กระทรวงการคลังได้ตระหนักถึงความสำคัญนี้และได้ดำเนินการในหลายแนวทาง
หลักสูตรปริญญาโทร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กระทรวงการคลังได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดทำหลักสูตรปริญญาโท เรื่องการบริหารจัดเก็บภาษีและการยกระดับนวัตกรรม เพื่อพัฒนา "คนคลัง" ที่มีความพร้อมในยุคดิจิทัล หลักสูตรนี้มุ่งเน้นการสร้างความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยี การวิเคราะห์ข้อมูล และความเข้าใจในโลกดิจิทัล
การศึกษาในหลักสูตรนี้จะช่วยให้บุคลากรมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในงานด้านการคลัง สามารถนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาระบบงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โปรแกรม Upskill และ Reskill
การลงทุนในระบบการฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะ (Upskill) และการฝึกอบรมทักษะใหม่ (Reskill) เป็นส่วนสำคัญของการเตรียมบุคลากรสู่ยุคดิจิทัล โปรแกรมเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่ทักษะพื้นฐานด้านดิจิทัล ไปจนถึงการใช้เครื่องมือเฉพาะทางเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้ AI
การฝึกอบรมยังรวมถึงการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน การใช้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ และการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลงและการใช้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง องค์กรต้องสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนการทดลองและการเรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อให้บุคลากรกล้าที่จะนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการทำงาน
การดึงดูดบุคลากรด้านเทคโนโลยี
การดึงดูดบุคลากรด้านเทคโนโลยีที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในภาครัฐเป็นความจำเป็นเพื่อขับเคลื่อนกระทรวงการคลังสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน การสร้างแรงจูงใจและสภาพแวดล้อมการทำงานที่น่าสนใจ เป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันเพื่อคนเก่งในยุคที่มีการแข่งขันสูง
ผลกระทบและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
การใช้เทคโนโลยี AI และระบบดิจิทัลคาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีอย่างมาก การตรวจจับการหลีกเลี่ยงภาษีที่แม่นยำขึ้น จะช่วยเพิ่มรายได้ภาษีของประเทศ ขณะที่การลดต้นทุนในการดำเนินงานจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ
ยกระดับการให้บริการประชาชน
ระบบดิจิทัลจะช่วยให้การให้บริการประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว สะดวก และโปร่งใส ผู้เสียภาษีสามารถเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น และได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน การลดขั้นตอนที่ซับซ้อนจะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของประชาชน
สร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ
การใช้เทคโนโลยีในการดำเนินงานจะช่วยสร้างความโปร่งใสและลดโอกาสในการทุจริต ระบบข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของประชาชนต่อระบบการคลัง
ความท้าทายและแนวทางการแก้ไข
ความปลอดภัยของข้อมูล
การเก็บและประมวลผลข้อมูลในปริมาณมากต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็ง กระทรวงต้องลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ และสร้างมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวด
การปรับตัวของบุคลากร
การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลอาจเป็นความท้าทายสำหรับบุคลากรบางกลุ่ม การสร้างโปรแกรมสนับสนุนและการฝึกอบรมที่เหมาะสม จะช่วยให้การปรับตัวเป็นไปอย่างราบรื่น
การลงทุนในระยะยาว
การพัฒนาระบบเทคโนโลยีต้องการการลงทุนในระยะยาวทั้งด้านเงินทุนและทรัพยากรบุคคล การวางแผนที่ดีและการจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ
อนาคตของการคลังไทยในยุคดิจิทัล
การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในกระทรวงการคลังเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ของการปฏิวัติครั้งใหญ่ในระบบการคลังไทย การใช้ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลจะขยายตัวและพัฒนาต่อไปในอนาคต เพื่อสร้างระบบการคลังที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมสำหรับทุกคน
การเดินทางสู่ "ยุคดิจิทัลสมบูรณ์แบบ" ของกระทรวงการคลังจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ
ในท้ายที่สุด การนำ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการคลัง ไม่ใช่แค่การปรับปรุงกระบวนการทำงาน แต่เป็นการสร้างรากฐานสำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ด้วยระบบการคลังที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง