Guestpost โฟสฟรี ถ้าคุณมีสาระดีๆ ที่นี่เราให้คุณได้แบ่งปัน

Notifications
Clear all

มูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือสหรัฐฯ จาก Aaa เหลือ Aa1 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

1 Posts
1 Users
0 Reactions
21 Views
supachai
(@supachai)
Posts: 5299
Illustrious Member
Topic starter
 

สหรัฐอเมริกาสูญเสียอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดจากบริษัทจัดอันดับเครดิตรายใหญ่แห่งสุดท้าย หลังจากมูดี้ส์ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Aaa เป็น Aa1 ส่งสัญญาณเตือนถึงปัญหาหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินในระยะยาว

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือครั้งประวัติศาสตร์

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) และรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody's Investors Service) ได้ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาจาก Aaa ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ลงมาอยู่ที่ Aa1 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ตามเวลาท้องถิ่น โดยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มูดี้ส์ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มจัดอันดับประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งนี้

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ ส่งผลให้มูดี้ส์ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับเครดิตรายใหญ่แห่งสุดท้ายที่ให้เครดิตระดับ Aaa แก่สหรัฐฯ เข้าร่วมกับฟิทช์ เรตติ้งส์ (Fitch Ratings) และเอสแอนด์พี โกลบอล เรตติ้งส์ (S&P Global Ratings) ในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ต่ำกว่าระดับสูงสุด โดยฟิทช์ได้ปรับลดอันดับลงมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ขณะที่เอสแอนด์พีได้ปรับลดอันดับตั้งแต่ปี 2554

พร้อมกันนี้ มูดี้ส์ยังได้ปรับเปลี่ยนมุมมองเครดิตจาก "ลบ" (Negative) เป็น "คงที่" (Stable) ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทไม่มีแผนที่จะปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ลงอีกในระยะเวลาอันใกล้

สาเหตุหลักของการปรับลดอันดับ: ภาระหนี้สินและการขาดดุลงบประมาณ

ในแถลงการณ์ มูดี้ส์ระบุว่า การตัดสินใจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ มีสาเหตุหลักมาจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง

"แม้ว่าเราจะรับรู้ถึงจุดแข็งทางเศรษฐกิจและการเงินที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา แต่เราเชื่อว่าจุดแข็งเหล่านี้ไม่สามารถชดเชยการลดลงของตัวชี้วัดทางการคลังได้อีกต่อไป" มูดี้ส์ระบุในแถลงการณ์ "ความล้มเหลวของนโยบายการคลังในการชะลอการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้ และความขัดแย้งทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นซึ่งบั่นทอนความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การปรับลดอันดับในครั้งนี้"

ศาสตราจารย์ดาร์เรล ดัฟฟี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและอดีตกรรมการบริหารของมูดี้ส์ ให้ความเห็นว่า การปรับลดอันดับในครั้งนี้เป็น "หลักฐานเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกามีภาระหนี้สินมากเกินไป" และเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาทางการคลัง

คาดการณ์ภาระหนี้สินของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 134% ของ GDP ภายในปี 2578

ตามรายงานของมูดี้ส์ คาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 134% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ภายในปี 2578 เมื่อเทียบกับ 98% ในปี 2567 ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงอย่างมีนัยสำคัญและสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในระยะยาว

มูดี้ส์ได้กล่าวโทษทั้งรัฐบาลชุดต่างๆ และรัฐสภาสหรัฐฯ ว่าเป็นต้นเหตุของการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้น โดยระบุว่าสมาชิกรัฐสภายังคงผลักดันร่างกฎหมายลดหย่อนภาษีและการใช้จ่ายครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะทำให้หนี้ของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นหลายล้านล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับเครดิตยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับการผลักดันร่างกฎหมายลดหย่อนภาษีต่อเนื่องจากปี 2560 ซึ่งอาจส่งผลให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พอกพูนเป็น 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,203 ล้านล้านบาท) ในอนาคตอันใกล้

ผลกระทบต่อนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อนโยบายลดหย่อนภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ วางแผนจะดำเนินการในระยะต่อไป โดยอาจทำให้การผลักดันนโยบายดังกล่าวเป็นไปได้ยากลำบากมากขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันจากตลาดการเงินและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่กังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ

อย่างไรก็ตาม สตีเฟน มัวร์ อดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสของประธานาธิบดีทรัมป์และนักเศรษฐศาสตร์จากมูลนิธิเฮอริเทจ (Heritage Foundation) แสดงความไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของมูดี้ส์ โดยเรียกการเคลื่อนไหวดังกล่าวว่า "น่าตกใจ" และตั้งคำถามว่า "หากพันธบัตรรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ไม่ใช่สินทรัพย์ที่ได้รับการจัดอันดับ AAA แล้วสินทรัพย์ใดในโลกนี้จะได้รับการจัดอันดับระดับนั้น?"

ย้อนรอยตำนานความน่าเชื่อถือทางการเงินของสหรัฐฯ

สหรัฐอเมริกาเคยได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด (AAA หรือ Aaa) จากบริษัทจัดอันดับเครดิตทั้งสามรายใหญ่มาโดยตลอดนับตั้งแต่ระบบการจัดอันดับเครดิตเริ่มต้นขึ้น โดยถือเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นที่พึ่งพิงของนักลงทุนทั่วโลกในช่วงเวลาที่เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2554 เมื่อเอสแอนด์พี โกลบอล เรตติ้งส์ เป็นบริษัทแรกที่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก AAA เป็น AA+ ท่ามกลางวิกฤตเพดานหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ซึ่งสร้างความตกใจให้กับตลาดการเงินทั่วโลกและนำไปสู่ความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดหุ้น

ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2566 ฟิทช์ เรตติ้งส์ได้ตัดสินใจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก AAA เป็น AA+ เช่นกัน โดยอ้างถึงการเสื่อมถอยของธรรมาภิบาลทางการคลังและการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้สินสาธารณะเป็นปัจจัยสำคัญ

และล่าสุด มูดี้ส์ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับเครดิตรายใหญ่แห่งสุดท้ายที่ยังคงให้อันดับ Aaa แก่สหรัฐฯ ได้ตัดสินใจปรับลดอันดับลงมาเป็น Aa1 ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดยุคทองของความน่าเชื่อถือทางการเงินระดับสูงสุดของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งนี้

สัญญาณเตือนจากปี 2566: มุมมอง "ลบ" ที่นำไปสู่การปรับลดอันดับ

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้เกิดขึ้นประมาณ 1 ปีหลังจากที่มูดี้ส์ได้เปลี่ยนมุมมองต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก "คงที่" เป็น "ลบ" เมื่อปี 2566 ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอันดับในอนาคต

ในช่วงเวลาดังกล่าว มูดี้ส์ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อความแข็งแกร่งทางการคลังของสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากการขาดดุลงบประมาณที่สูงและต่อเนื่อง ความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการงบประมาณ และการแก้ไขปัญหาเพดานหนี้ที่ล่าช้าและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลก

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ โดยมูดี้ส์มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดการเงินทั่วโลก แม้ว่าผลกระทบในช่วงแรกอาจไม่รุนแรงเท่ากับกรณีของเอสแอนด์พีในปี 2554 ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งแรกในประวัติศาสตร์

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การปรับลดอันดับในครั้งนี้อาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนอาจเรียกร้องผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งเพิ่มภาระทางการคลังให้กับรัฐบาลในระยะยาว

นอกจากนี้ การปรับลดอันดับยังอาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในตลาดเงินตราต่างประเทศ และอาจกระทบต่อสถานะของดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองหลักของโลก หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ความท้าทายทางการคลังของสหรัฐฯ: ปัญหาเชิงโครงสร้างที่รอการแก้ไข

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของมูดี้ส์สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายทางการคลังเชิงโครงสร้างที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายลดหย่อนภาษีและการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ

ข้อมูลจากสำนักงานงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐฯ (Congressional Budget Office) ระบุว่า การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2567 มีมูลค่าประมาณ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2574 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ภาระหนี้สินสาธารณะของสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่และเพิ่มการใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ส่งผลให้ภาระหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน

ปฏิกิริยาจากรัฐบาลสหรัฐฯ และผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ แต่คาดว่าจะมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตลาดและนักลงทุน

ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยบางส่วนมองว่าการปรับลดอันดับเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญที่รัฐบาลควรใส่ใจและดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ขณะที่บางส่วนเชื่อว่าผลกระทบจะมีจำกัดเนื่องจากตลาดได้คาดการณ์เหตุการณ์นี้ไว้แล้วในระดับหนึ่ง

พอล ครูกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลและคอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทมส์ ให้ความเห็นว่า "การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของมูดี้ส์อาจสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องทบทวนนโยบายการคลังและดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณในระยะยาว แต่อาจไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดในระยะสั้น เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกในสายตาของนักลงทุนส่วนใหญ่"

บทวิเคราะห์: ความท้าทายในการรักษาวินัยทางการคลัง

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ โดยมูดี้ส์สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายอันยิ่งใหญ่ในการรักษาวินัยทางการคลังท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการเมืองแบบสองพรรคที่มีความขัดแย้งสูง

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างก็มีส่วนในการเพิ่มขึ้นของการขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีหรือการเพิ่มการใช้จ่ายในโครงการต่างๆ โดยไม่มีการดำเนินการอย่างเพียงพอเพื่อสร้างความสมดุลทางการคลังในระยะยาว

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมและการดูแลสุขภาพสำหรับประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการทหารที่สูง ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่องบประมาณและทำให้การแก้ไขปัญหาการขาดดุลเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

ทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบต่อประเทศไทย

แม้ว่าการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในระยะสั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราที่น่าพอใจ โดยได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและการบริโภคภาคเอกชนที่เข้มแข็ง

สำหรับประเทศไทย การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบผ่านหลายช่องทาง ทั้งการส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และตลาดการเงิน

หากการปรับลดอันดับส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง อาจช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกันอาจทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐเพิ่มสูงขึ้น เช่น น้ำมันและวัตถุดิบบางประเภท

นอกจากนี้ หากเกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลก อาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงประเทศไทย และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าผลกระทบต่อประเทศไทยจะมีจำกัด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่นและมีการกระจายความเสี่ยงในด้านการค้าและการลงทุนกับหลายประเทศ รวมถึงมีฐานะการคลังและภาคการเงินที่แข็งแกร่ง

บทสรุป: สัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการปฏิรูปการคลัง

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก Aaa เป็น Aa1 โดยมูดี้ส์ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์การเงินของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งนี้ และเป็นสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นในการปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง

แม้ว่าการปรับลดอันดับในครั้งนี้อาจไม่ส่งผลกระทบรุนแรงในระยะสั้น แต่เป็นเครื่องเตือนใจสำคัญว่าแม้แต่ประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจสูงสุดของโลกก็ไม่สามารถละเลยวินัยทางการคลังได้อย่างไม่มีขีดจำกัด

สำหรับนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบาย การปรับลดอันดับในครั้งนี้ควรเป็นโอกาสในการทบทวนและปรับปรุงนโยบายการคลังเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว และรักษาสถานะของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป

This topic was modified 4 weeks ago by supachai
 
Posted : 17/05/2025 11:59 am
Share: