หลังจากครองตำแหน่งประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ในที่สุดญี่ปุ่นก็ต้องส่งมอบบัลลังก์ให้กับเยอรมนี สะท้อนถึงพลวัตทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าสินทรัพย์สุทธินอกประเทศของญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะรักษาตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ไว้ได้
สิ้นสุดการครองแชมป์ 34 ปี
ตามรายงานล่าสุดจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่นที่เปิดเผยในวันนี้ (27 พ.ค.) ระบุว่า สินทรัพย์สุทธินอกประเทศ (net external assets) ของญี่ปุ่น ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 533.05 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 12.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์สำหรับประเทศญี่ปุ่น แต่ถึงกระนั้น ตัวเลขดังกล่าวก็ยังไม่สามารถแซงหน้าเยอรมนีได้ ซึ่งมีสินทรัพย์สุทธินอกประเทศอยู่ที่ 569.65 ล้านล้านเยน
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ทำให้ญี่ปุ่นต้องเสียตำแหน่งประเทศเจ้าหนี้ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2534 (ค.ศ. 1991) หลังจากที่ครองตำแหน่งนี้มายาวนานถึง 34 ปี สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างประเทศ
เยอรมนีผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจทางการเงิน
การที่เยอรมนีก้าวขึ้นมาเป็นประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการส่งออก เยอรมนีได้ประโยชน์อย่างมากจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและการใช้สกุลเงินยูโร ซึ่งช่วยให้สินค้าและบริการของเยอรมนีมีความสามารถในการแข่งขันสูงในตลาดโลก
นอกจากนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เยอรมนีได้เน้นการลงทุนในต่างประเทศอย่างมีกลยุทธ์ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งได้สร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งและช่วยเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ต่างประเทศของเยอรมนีอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ดร.อันเดรียส ไมเออร์ จากมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน กล่าวว่า "การที่เยอรมนีก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกนั้น เป็นผลมาจากนโยบายทางเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการส่งออกและความมีวินัยทางการคลังมาอย่างยาวนาน ประกอบกับความสามารถในการปรับตัวเข้ากับตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป"
ปัจจัยที่ทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียตำแหน่ง
แม้ว่าสินทรัพย์สุทธินอกประเทศของญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา แต่ก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถรักษาตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกไว้ได้
ประการแรก การอ่อนค่าของเงินเยนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์ต่างประเทศเมื่อคิดเป็นสกุลเงินต่างประเทศ แม้ว่าการอ่อนค่าของเงินเยนจะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ต่างประเทศเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินเยน แต่ก็ทำให้อำนาจซื้อและความสามารถในการลงทุนในต่างประเทศของญี่ปุ่นลดลง
ประการที่สอง ญี่ปุ่นประสบกับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศมาอย่างยาวนาน ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และภาระหนี้สาธารณะที่สูง ซึ่งทั้งหมดนี้ได้จำกัดความสามารถของญี่ปุ่นในการเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ
ประการที่สาม การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะจีน ซึ่งได้เพิ่มการลงทุนในต่างประเทศอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาตำแหน่งผู้นำทางการเงินระหว่างประเทศ
รัฐบาลญี่ปุ่นตอบสนองต่อสถานการณ์
ในการแถลงข่าวเมื่อช่วงเช้าวันนี้ โยชิมาสะ ฮายาชิ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น ได้พยายามลดความสำคัญของการสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยระบุว่า "มูลค่าสินทรัพย์สุทธินอกประเทศขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ทางการเงินและหนี้สิน ตลอดจนดุลการชำระเงิน (balance of payments)"
ฮายาชิยังเน้นย้ำว่า "ด้วยปัจจัยเหล่านี้ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าสินทรัพย์ต่างประเทศของญี่ปุ่นยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เราจึงไม่เชื่อว่าอันดับที่เปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวจะเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อสถานะของญี่ปุ่น"
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจหลายรายมองว่า การสูญเสียตำแหน่งนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนสำหรับรัฐบาลญี่ปุ่นในการพิจารณาทบทวนนโยบายทางเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างประเทศ
ศาสตราจารย์ทาเคชิ โคมัตสึ จากมหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าวว่า "แม้ว่าการสูญเสียตำแหน่งนี้อาจไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในทันที แต่ก็เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนระหว่างประเทศของญี่ปุ่น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว"
อันดับประเทศเจ้าหนี้ชั้นนำของโลกปี 2567
ตามข้อมูลจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่น อันดับประเทศเจ้าหนี้ชั้นนำของโลกในปี 2567 มีดังนี้:
- เยอรมนี: 569.65 ล้านล้านเยน
- ญี่ปุ่น: 533.05 ล้านล้านเยน
- จีนแผ่นดินใหญ่: 516.28 ล้านล้านเยน
- ฮ่องกง: 320.26 ล้านล้านเยน
- นอร์เวย์: 271.83 ล้านล้านเยน
ที่น่าสนใจคือ จีนแผ่นดินใหญ่ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธินอกประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของจีนในเศรษฐกิจโลกและการเงินระหว่างประเทศ
ความสำคัญของการเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลก
การเป็นประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของตัวเลขหรือสถิติเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงอิทธิพลและอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นในเวทีโลกอีกด้วย
ประเทศที่มีสถานะเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่มักจะมีอิทธิพลมากขึ้นในองค์กรการเงินระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก นอกจากนี้ ยังมีความสามารถในการใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการทูตและนโยบายต่างประเทศได้มากขึ้น
ดร.เคนจิ ยามาโมโตะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจญี่ปุ่น อธิบายว่า "การเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกเปรียบเสมือนการมีเสียงที่ดังกว่าในการเจรจาระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและสนับสนุนวาระทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้"
การเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์สุทธินอกประเทศของญี่ปุ่น
ในกรณีของญี่ปุ่น แม้ว่าจะสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สุทธินอกประเทศในปีที่ผ่านมาก็ยังถือเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจ
ตามรายงานจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่น การอ่อนค่าของเงินเยนมีส่วนสำคัญในการเพิ่มมูลค่าของทั้งสินทรัพย์ต่างประเทศและหนี้สินต่างประเทศเมื่อคิดเป็นเงินเยน แต่สินทรัพย์เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการที่ภาคธุรกิจญี่ปุ่นขยายการลงทุนในต่างประเทศ
ข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่นระบุว่า สินทรัพย์ต่างประเทศของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 18.5% เป็น 1,249.95 ล้านล้านเยนในปีที่ผ่านมา ในขณะที่หนี้สินต่างประเทศเพิ่มขึ้น 23.1% เป็น 716.91 ล้านล้านเยน
ทาคุยะ ฮาระ นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันวิจัยดาอิวะ กล่าวว่า "แม้ว่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงจะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ต่างประเทศเมื่อคิดเป็นเงินเยน แต่ในระยะยาวแล้ว ญี่ปุ่นจำเป็นต้องเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศเพื่อรักษาสถานะทางการเงินระหว่างประเทศของตน"
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
การสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในทันที แต่อาจมีนัยสำคัญในระยะยาว โดยเฉพาะในแง่ของความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นและอิทธิพลของญี่ปุ่นในเวทีการเงินระหว่างประเทศ
ดร.ไซโตะ มาซากิ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชีย กล่าวว่า "การสูญเสียตำแหน่งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับญี่ปุ่นในการทบทวนกลยุทธ์การลงทุนระหว่างประเทศและนโยบายเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้น"
นอกจากนี้ การสูญเสียตำแหน่งดังกล่าวยังอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความท้าทายที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจเกิดใหม่
ความท้าทายและโอกาสในอนาคต
สำหรับญี่ปุ่น การสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจเป็นโอกาสในการทบทวนและปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต
ญี่ปุ่นยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่:
- ประชากรที่ลดลงและสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการออมและลงทุนในระยะยาว
- ภาระหนี้สาธารณะที่สูง ซึ่งจำกัดความยืดหยุ่นทางการคลังและความสามารถในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการวิจัยและพัฒนา
- การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ญี่ปุ่นเคยมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงมีจุดแข็งหลายประการที่สามารถนำมาใช้เพื่อรักษาและเสริมสร้างสถานะทางการเงินระหว่างประเทศของตน ได้แก่:
- ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น หุ่นยนต์ ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีสะอาด
- ตลาดทุนที่พัฒนาแล้วและระบบการเงินที่มีเสถียรภาพ ซึ่งสามารถสนับสนุนการลงทุนระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ
- ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่แข็งแกร่งกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
บทบาทของจีนในฐานะมหาอำนาจทางการเงิน
การที่จีนแผ่นดินใหญ่ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับ 3 ของโลกนั้น เป็นพัฒนาการที่น่าสนใจและสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจโลก
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้เพิ่มการลงทุนในต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะผ่านโครงการ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative) ซึ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก
ดร.หวัง เหลียง นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจระหว่างประเทศแห่งปักกิ่ง กล่าวว่า "การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สุทธินอกประเทศของจีนสะท้อนถึงกลยุทธ์การลงทุนระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปของจีน จากการเน้นการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศไปสู่การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในแง่ของภูมิศาสตร์และประเภทของสินทรัพย์"
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในต่างประเทศของจีนก็เผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสและความยั่งยืนของโครงการลงทุน ตลอดจนความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กับประเทศตะวันตก
ผลกระทบต่อระบบการเงินโลก
การเปลี่ยนแปลงอันดับประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกอาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินโลกในหลายด้าน
ประการแรก การที่เยอรมนีก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจเสริมสร้างบทบาทของยุโรปในการกำหนดกฎระเบียบและมาตรฐานทางการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการเงินที่ยั่งยืน
ประการที่สอง การเพิ่มขึ้นของบทบาทของจีนในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนในสถาปัตยกรรมการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในบริบทของการเพิ่มขึ้นของสถาบันการเงินที่นำโดยจีน เช่น ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) และธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB)
ประการที่สาม การเปลี่ยนแปลงในอันดับประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกอาจส่งผลต่อบทบาทของสกุลเงินหลักในระบบการเงินโลก โดยเฉพาะในบริบทของการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศและการสำรองระหว่างประเทศ
ศาสตราจารย์ มาร์ติน วอลฟ์ จากมหาวิทยาลัยลอนดอนสกูลออฟอีโคโนมิกส์ กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงในอันดับประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกอาจไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินโลกในทันที แต่ในระยะยาวแล้ว อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสมดุลอำนาจทางการเงินและเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของโลก"
การตอบสนองของนักลงทุนและตลาดการเงิน
ปฏิกิริยาของนักลงทุนและตลาดการเงินต่อการเปลี่ยนแปลงอันดับประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกค่อนข้างจำกัดในช่วงแรก โดยดัชนีตลาดหุ้นโตเกียวปิดลดลงเล็กน้อยในวันนี้ ในขณะที่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะยาว โดยเฉพาะหากเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่กว้างขึ้นของการถดถอยในอิทธิพลทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
ยูกิ มาซูดะ นักวิเคราะห์อาวุโสจากโนมูระ กล่าวว่า "ในระยะสั้น การเปลี่ยนแปลงในอันดับประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกอาจไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างมีนัยสำคัญ แต่นักลงทุนควรติดตามนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างประเทศของญี่ปุ่นในอนาคต เพื่อประเมินผลกระทบในระยะยาว"
บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศมีมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอันดับประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลก
ดร.โจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลและอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงในอันดับประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของบทบาทของยุโรปและจีนในระบบการเงินระหว่างประเทศ"
ในขณะที่ ดร.เอสเทอร์ ดูโฟล่อ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) มองว่า "การที่ญี่ปุ่นสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจเป็นส่วนหนึ่งของการปรับสมดุลในระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจนำไปสู่การกระจายความเสี่ยงและโอกาสทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น"
ศาสตราจารย์ริชาร์ด บอลด์วิน จากสถาบันบัณฑิตศึกษานานาชาติและการพัฒนา กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงในอันดับประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลกควรถูกมองในบริบทของการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่มูลค่าโลกและการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าและการลงทุน"
มุมมองจากภาคธุรกิจญี่ปุ่น
ผู้นำธุรกิจญี่ปุ่นมีมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับการสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกของประเทศ
มาซาโยชิ ฟุจิโมโตะ ประธานสภาธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) กล่าวว่า "แม้ว่าการสูญเสียตำแหน่งนี้อาจไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่น แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าญี่ปุ่นจำเป็นต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรมเพื่อรักษาบทบาทที่สำคัญในเศรษฐกิจโลก"
ทาดาชิ ยานาอิ ประธานบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวเสริมว่า "การลงทุนในต่างประเทศยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับบริษัทญี่ปุ่นในการขยายตลาดและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน แม้ว่าประเทศจะสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกก็ตาม"
ในขณะที่ คาซูโอะ ฮิราอิ ประธานบริษัทโซนี่ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น มองว่า "การเปลี่ยนแปลงนี้ควรเป็นแรงกระตุ้นให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของญี่ปุ่นเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและส่งเสริมนวัตกรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงทางประชากร"
สรุปและมุมมองในอนาคต
การที่ญี่ปุ่นสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกให้กับเยอรมนีหลังจากครองตำแหน่งนี้มายาวนาน 34 ปี สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างประเทศ
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นในทันที แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนถึงความท้าทายที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและบทบาทที่สำคัญในเศรษฐกิจโลก
ในขณะเดียวกัน การที่เยอรมนีก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกและการเพิ่มขึ้นของบทบาทของจีนในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับ 3 ของโลก สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในสมดุลอำนาจทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างภูมิภาคต่างๆ ของโลก
ในอนาคต ความสามารถของประเทศต่างๆ ในการรักษาและเสริมสร้างสถานะทางการเงินระหว่างประเทศของตนจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงความสามารถในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลก การลงทุนในนวัตกรรมและการพัฒนาทุนมนุษย์ และการรับมือกับความท้าทายในระยะยาว เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงทางประชากร
สำหรับญี่ปุ่น การสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกควรเป็นแรงกระตุ้นให้มีการทบทวนและปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคตและรักษาบทบาทที่สำคัญในเศรษฐกิจโลกต่อไป
ดร.ฮิโรชิ โยชิคาวะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น กล่าวว่า "การสูญเสียตำแหน่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกไม่ใช่จุดจบของบทบาทของญี่ปุ่นในเศรษฐกิจโลก แต่เป็นโอกาสในการเริ่มต้นบทใหม่ ด้วยการเน้นการลงทุนในนวัตกรรม การพัฒนาทุนมนุษย์ และการปรับตัวเข้ากับความท้าทายในศตวรรษที่ 21 ญี่ปุ่นยังคงมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในเศรษฐกิจโลกต่อไปในอนาคต"