งานวิจัยใหม่เผยทักษะคณิตศาสตร์เบื้องต้นอาจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างวินัยทางการเงิน
ปัญหาการขาดเงินออมยังคงเป็นปมใหญ่ที่รัดคอคนไทยจำนวนมาก แม้จะทำงานหนักและพยายามประหยัดอย่างเต็มที่ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2563 เผยว่า คนไทยมากกว่า 60% ระบุว่าไม่มีหรือไม่มั่นใจว่ามีเงินสำรองเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายนาน 3 เดือน หากสูญเสียรายได้หลัก
งานวิจัยล่าสุดจากรศ.ดร.อจลวรรธก์ วิริยะวิภาต คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทีมนักวิจัยสากล พยายามตอบคำถามสำคัญว่า ความรู้ทางการเงินพื้นฐานสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการออมของผู้คนได้จริงหรือไม่ และกลไกที่แท้จริงเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนั้นคืออะไร
ปัญหาที่แพร่หลายทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะไทย
ปัญหาการขาดเงินออมไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นภาวะที่พบได้ทั่วโลก สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ในกลุ่มผู้ที่มีรายได้ใกล้เคียงกัน บางคนสามารถสะสมเงินออมได้สำเร็จ ในขณะที่คนอื่นๆ กลับไม่สามารถทำได้เลย
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือ อะไรทำให้บางคนสามารถ "อดทน" และ "วางแผนระยะยาว" ได้ดีกว่าคนอื่น และความรู้ทางการเงินจะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมคนได้จริงหรือไม่
ความรู้ทางการเงิน คืออะไรกันแน่
เมื่อพูดถึง "ความรู้ทางการเงิน" หรือ Financial Literacy เราหมายถึงความสามารถในการเข้าใจและใช้ข้อมูลทางการเงินพื้นฐานเพื่อการตัดสินใจเรื่องเงินในชีวิตประจำวัน องค์ประกอบสำคัญได้แก่ ความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ความเสี่ยง การกระจายการลงทุน และมูลค่าเงินตามเวลา
ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ มีความเชื่อว่าความรู้ทางการเงินอาจช่วยให้คนตัดสินใจได้ดีขึ้นในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการออมอย่างรอบคอบ การเข้าใจความคุ้มค่าระหว่างการใช้เงินในปัจจุบันกับอนาคต การหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น และการตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผล
ข้อสงสัยที่ยังหาคำตอบไม่ได้
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนคือ เมื่อคนมีความรู้ทางการเงินแล้ว พฤติกรรมของเขาจะเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่ และหากเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจาก "ความเข้าใจแนวคิดทางการเงิน" หรือเพราะ "ทักษะการคำนวณ" กันแน่
คำถามนี้จึงเป็นจุดตั้งต้นของงานวิจัยที่พยายามแยกแยะให้ชัดเจนว่า อะไรคือกลไกที่แท้จริงที่ทำให้ความรู้สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้
การทดลองภาคสนามครั้งสำคัญในยูเออี
เพื่อหาคำตอบสำหรับข้อสงสัยดังกล่าว รศ.ดร.อจลวรรธก์และทีมนักวิจัย (Gaibulloev et al., 2025) ได้จัดการทดลองภาคสนาม (Lab-in-the-field experiment) กับแรงงานทำความสะอาดจำนวน 507 คนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติจากประเทศอินเดียและบังกลาเทศ มีลักษณะเป็นผู้ชาย มีรายได้น้อย และมีระดับการศึกษาต่ำ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาพฤติกรรมทางการเงินของผู้ที่มีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ
การแบ่งกลุ่มและหลักสูตรการอบรม
ผู้เข้าร่วมการทดลองถูกสุ่มแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
กลุ่มควบคุม ได้รับการอบรมเรื่องการบริการลูกค้า โดยไม่มีเนื้อหาด้านการเงินแต่อย่างใด การเลือกหัวข้อการบริการลูกค้าเป็นการควบคุมตัวแปรเพื่อให้แน่ใจว่าผลที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่ผลจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมอบรม
กลุ่มอบรมการเงิน เรียนรู้ 4 หัวข้อสำคัญ ประกอบด้วย พื้นฐานเลขคณิต ดอกเบี้ยและมูลค่าเงินตามเวลา การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และแนวคิดเรื่องเงินเฟ้อ หัวข้อเหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของความรู้ทางการเงิน
กลุ่มอบรมคณิตศาสตร์พื้นฐาน เรียนรู้ 4 หัวข้อ ได้แก่ พื้นฐานเลขคณิต เศษส่วน เปอร์เซ็นต์และการเติบโตแบบทบต้น และความน่าจะเป็น การเลือกหัวข้อเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อทดสอบว่าทักษะทางคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียวจะส่งผลต่อพฤติกรรมหรือไม่
หลังจากการอบรมเสร็จสิ้น ผู้เข้าร่วมทุกคนได้เข้าร่วม "เกมวัดพฤติกรรม" เพื่อประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมทางการเงิน
เกม Time Preference: การวัดความอดทนและความสม่ำเสมอ
หนึ่งในเกมสำคัญที่ใช้ในการประเมินผลคือ Time Preference Task หรือ "เกมวัดความอดทน" ซึ่งออกแบบมาเพื่อวัดความสามารถในการตัดสินใจระหว่างผลตอบแทนในปัจจุบันกับอนาคต
ในแต่ละรอบของเกม ผู้เข้าร่วมจะต้องเลือกระหว่างทางเลือกสองข้อ คือ ได้รับเงิน 50 ดีแรห์ม (1 ดีแรห์ม มีมูลค่าประมาณ 9 บาท) ในอีก 2 สัปดาห์ หรือรับเงินจำนวนมากกว่าในอีก 6 สัปดาห์ (รอเพิ่มอีก 4 สัปดาห์)
เกมประกอบด้วย 5 รอบ โดยมูลค่าของเงินที่จะได้รับหากเลือกรอนานขึ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 55, 60, 65, 70 และ 75 ดีแรห์ม ตามลำดับ หรือคิดเป็นผลตอบแทนเพิ่มเติม 10% ไปจนถึง 50% สำหรับการรอเพิ่มอีก 4 สัปดาห์
สิ่งสำคัญคือ หลังจากเล่นเกมทั้งหมดแล้ว นักวิจัยจะสุ่มเลือกเพียงหนึ่งรอบจากหนึ่งเกมเพื่อใช้ในการจ่ายผลตอบแทนจริง วิธีการนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้เข้าร่วมจะตัดสินใจในแต่ละรอบอย่างจริงจัง
วัตถุประสงค์ของการทดลอง
นักวิจัยต้องการดูว่า เมื่อข้อเสนอให้ "รอ" มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น ผู้เข้าร่วมจะเปลี่ยนการตัดสินใจจาก "ไม่รอ" ไปเป็น "รอ" ในจุดใด และที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาจะตัดสินใจอย่างสม่ำเสมอหรือไม่
ตัวอย่างเช่น หากในรอบที่สองผู้เข้าร่วมเลือกที่จะ "รอ" เพื่อรับ 60 ดีแรห์มในอีก 4 สัปดาห์ ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาควรจะยังคงเลือก "รอ" ในรอบที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น เช่น 65 หรือ 70 ดีแรห์มในอนาคต
แต่หากเขาเปลี่ยนใจกลับมาเลือก "ไม่รอ" ทั้งที่รางวัลข้างหน้าน่าดึงดูดยิ่งขึ้น แสดงว่าเขาอาจจะไม่มีความสม่ำเสมอในการตัดสินใจ หรืออาจจะไม่ได้เข้าใจข้อเสนออย่างแท้จริง
ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ: ทักษะคณิตศาสตร์มีพลังเท่ากับความรู้การเงิน
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองชัดเจนและน่าสนใจมาก โดยพบว่า
การเพิ่มขึ้นของความอดทน กลุ่มที่ได้รับการอบรม (ทั้งการเงินและคณิตศาสตร์) มีแนวโน้มเลือก "รอ" เพื่อผลตอบแทนในอนาคตมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการอบรมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทิศทางที่ดีขึ้น
ความสม่ำเสมอในการตัดสินใจ กลุ่มที่ได้รับการอบรมมีจำนวนคนที่มีความ "สม่ำเสมอ" ในการตัดสินใจเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แสดงว่าพวกเขาสามารถวิเคราะห์และเปรียบเทียบทางเลือกได้ดีขึ้น
ผลลัพธ์ที่เหมือนกันระหว่างสองกลุ่ม สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ กลุ่มที่เรียนการเงินและกลุ่มที่เรียนคณิตศาสตร์พื้นฐานไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
การค้นพบนี้มีนัยสำคัญอย่างมาก เพราะแสดงให้เห็นว่า ผลของการอบรมด้านการเงินอาจไม่ได้เกิดจากความรู้ทางการเงินโดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเสริมสร้างทักษะด้านคณิตศาสตร์พื้นฐานที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถเปรียบเทียบทางเลือกและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงตัวเลขได้ดีขึ้น
การตีความผลลัพธ์: ทักษะคำนวณเป็นรากฐานสำคัญ
ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า แค่ความเข้าใจพื้นฐานทางตัวเลขและการคำนวณ ก็สามารถช่วยให้คนวิเคราะห์ทางเลือกและตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้ทางการเงินที่ซับซ้อน
การค้นพบนี้มีความสำคัญต่อการออกแบบโปรแกรมการศึกษาด้านการเงิน เพราะแสดงให้เห็นว่า การสร้างรากฐานทางคณิตศาสตร์ที่แข็งแกร่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าการสอนแนวคิดทางการเงินที่ซับซ้อนทันที
หลักฐานสนับสนุนจากงานวิจัยอื่น
งานวิจัยที่คล้ายกันจากประเทศเยอรมนีให้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะงานของ Sutter et al. (2020) ที่ศึกษาในนักเรียนมัธยมอายุ 16 ปี และงานของ Lührmann et al. (2018) ที่ศึกษาในนักเรียนอายุ 13-15 ปี
ทั้งสองงานวิจัยพบว่า นักเรียนที่เข้าเรียนความรู้ทางการเงินมีแนวโน้มเลือก "รอ" เพื่อผลตอบแทนในอนาคตมากขึ้นเมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่าให้เปรียบเทียบ
แม้บริบทของผู้เข้าร่วมในแต่ละงานวิจัยจะแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่แรงงานผู้ใหญ่ในตะวันออกกลางไปจนถึงนักเรียนวัยรุ่นในยุโรป แต่ผลลัพธ์กลับคล้ายกันอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เชื่อได้ว่าผลการวิจัยเหล่านี้น่าจะสามารถขยายผลและประยุกต์ใช้ได้กับกลุ่มประชากรที่หลากหลายมากขึ้น
ความหมายสำหรับกลุ่มเปราะบาง
การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงความรู้ทางการเงิน เช่น แรงงานนอกระบบ ผู้มีรายได้น้อย หรือแม้แต่เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย
กลุ่มเหล่านี้มักจะมีข้อจำกัดทางการศึกษาและโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน การที่พบว่าทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานสามารถช่วยปรับปรุงพฤติกรรมทางการเงินได้ จึงเป็นข่าวดีสำหรับการออกแบบโปรแกรมที่เข้าถึงได้และมีต้นทุนต่ำ
บทเรียนสำคัญสำหรับนโยบายสาธารณะ
ผลการวิจัยนี้ให้ข้อเสนอแนะสำคัญหลายประการสำหรับการกำหนดนโยบายด้านการศึกษาทางการเงิน
การเน้นทักษะพื้นฐานก่อน แทนที่จะเริ่มต้นด้วยแนวคิดทางการเงินที่ซับซ้อน การสร้างรากฐานทางคณิตศาสตร์ที่แข็งแกร่งอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
การลดต้นทุนการให้ความรู้ เนื่องจากทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานง่ายต่อการสอนและเรียนรู้กว่าแนวคิดทางการเงินที่ซับซ้อน จึงสามารถลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงได้
การขยายผลได้ง่าย โปรแกรมที่เน้นทักษะพื้นฐานสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับกลุ่มประชากรที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก ในเมืองหรือชนบท
ข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย ที่ยังมีคนจำนวนมากโดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานนอกระบบ เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่มีเงินออมและขาดความเข้าใจด้านการเงินพื้นฐาน ผลการวิจัยนี้นำเสนอแนวทางที่น่าสนใจ
การพัฒนาโปรแกรมเรียบง่าย ประเทศไทยควรพิจารณาพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้ที่เรียบง่าย เข้าถึงได้ และสอดคล้องกับบริบทของคนกลุ่มนี้ โดยเน้นทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานเป็นจุดเริ่มต้น
การใช้ช่องทางที่เข้าถึงได้ การนำเสนอความรู้ผ่านช่องทางที่คุ้นเคยและเข้าถึงได้ง่าย เช่น ศูนย์พัฒนาชุมชน วัด โรงเรียน หรือแม้แต่แอปพลิเคชันมือถือที่ใช้งานง่าย
การปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น โปรแกรมควรออกแบบให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทย โดยใช้ตัวอย่างและสถานการณ์ที่คุ้นเคยและเข้าใจง่าย
ความท้าทายในการนำไปใช้
แม้ผลการวิจัยจะให้ความหวัง แต่ยังมีความท้าทายหลายประการในการนำไปใช้จริง
การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดมักเป็นกลุ่มที่เข้าถึงยากที่สุด การหาวิธีเข้าถึงและสร้างแรงจูงใจให้เข้าร่วมโปรแกรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การประเมินผลระยะยาว การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระยะสั้นอาจไม่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน จึงจำเป็นต้องมีการติดตามผลในระยะยาว
การปรับแต่งให้เหมาะสม แต่ละกลุ่มประชากรอาจต้องการวิธีการที่แตกต่างกัน การออกแบบโปรแกรมที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้จึงมีความสำคัญ
อนาคตของการศึกษาทางการเงินในไทย
ผลการวิจัยนี้เปิดโอกาสใหม่สำหรับการพัฒนาการศึกษาทางการเงินในประเทศไทย โดยเฉพาะการมุ่งเน้นไปที่รากฐานที่แข็งแกร่งแทนการสอนเนื้อหาที่ซับซ้อนตั้งแต่เริ่มต้น
การบูรณาการในระบบการศึกษา การนำทักษะคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเงินเข้าไปในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
การพัฒนาแรงงาน โปรแกรมการพัฒนาทักษะสำหรับแรงงานควรรวมทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการเงินเข้าไปด้วย เพื่อช่วยให้แรงงานสามารถจัดการเงินส่วนตัวได้ดีขึ้น
การใช้เทคโนโลยี การพัฒนาแอปพลิเคชันหรือเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยฝึกทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานในบริบทการเงิน อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงคนจำนวนมาก
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้กำหนดนโยบาย
จากผลการวิจัยนี้ ผู้กำหนดนโยบายควรพิจารณาประเด็นสำคัญหลายประการ
การลงทุนในการศึกษาพื้นฐาน การเสริมสร้างทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานที่แข็งแกร่งในระบบการศึกษาอาจเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว ทั้งในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและการลดความเหลื่อมล้ำ
การออกแบบโปรแกรมให้เหมาะสม โปรแกรมการศึกษาทางการเงินควรออกแบบให้เริ่มต้นจากทักษะพื้นฐานก่อน แล้วค่อยขยายไปสู่แนวคิดที่ซับซ้อนมากขึ้น
การวัดผลอย่างเป็นระบบ ควรมีการติดตามและประเมินผลโปรแกรมการศึกษาทางการเงินอย่างเป็นระบบ เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
การสร้างความร่วมมือ การพัฒนาการศึกษาทางการเงินต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม
บทสรุป: ความรู้เล็กๆ เปลี่ยนพฤติกรรมใหญ่ๆ ได้
งานวิจัยนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับกลไกที่ทำให้ความรู้ทางการเงินสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ การค้นพบว่าทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐานมีพลังเท่ากับความรู้ทางการเงินในการปรับปรุงการตัดสินใจ เป็นข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับการออกแบบนโยบายและโปรแกรมการศึกษา
สำหรับประเทศไทย ที่ยังมีคนจำนวนมากที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการจัดการเงินส่วนตัว ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นทางออกที่เป็นไปได้ การมุ่งเน้นไปที่การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งแทนการสอนเนื้อหาที่ซับซ้อน อาจเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้คนไทยมีวินัยทางการเงินที่ดีขึ้น
ในท้ายที่สุด ความรู้เล็กๆ อาจเปลี่ยนพฤติกรรมใหญ่ๆ ได้จริง และความเข้าใจเรื่องเงินที่เริ่มต้นจากพื้นฐานที่เรียบง่าย อาจเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่มั่นคงขึ้นในระยะยาวสำหรับคนไทยทุกคน การลงทุนในการศึกษาทางการเงินที่เหมาะสมจึงไม่ใช่เพียงแค่การใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืนของประเทศชาติ