เติ้งดูดชูวิทย์ ยุบรวมปลาไหล

ข่าวด่วนวันนี้

“แม้ว”หายป่วยออกงานแรกร่วมถกไฟใต้กับนักวิชาการ เตรียมเดินสายหาเสียงเมืองศรีสะเกษในเย็นวันจันทร์นี้ “ภูมิธรรม”แจงตารางหาเสียงไทยรักไทยนัดปราศรัยใหญ่สนามหลวงวันที่ 11 กุมภาฯปีหน้า ลือหึ่ง”ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์”เตรียมขอมติที่ประชุมผู้บริหารพรรคต้นตระกูลไทยยุบรวมพรรคปลาไหล หลังแอบเจรจากันลงตัวแล้ว พร้อมนัดแถลงข่าวจูบปากร่วมกับแกนนำชาติไทยวันอังคารนี้ “ซินตึ๊ง” ลั่นพรรคมหาชนขอยึดแนวทางต่อสู้แบบพระเจ้าตากสิน หลังนำลูกทีมผู้สมัครส.ส.เมืองกรุงเข้าสักการะ ยัน”จเด็จ”ไม่ได้เสี้ยมให้ทรท.กับชท.แตกคอกัน เพียงแต่เห็นพรรคร่วมมักถูกล้วงลูก-ฮุบผลงาน บัญญัติอ้อมแอ้มจับมือมหาชน-ชาติไทยตั้งรัฐบาลสมัยหน้า อ้างยังไม่ถึงเวลา ชี้ทรท.ได้ไม่ถึง 250 เสียง 18-21 พ.ย.นี้นำขบวนคาราวานแอ่วภาคเหนือตอนล่าง “อัมมาร”ขึ้นเวทีชำแหละนโยบายประชานิยม แก้ปัญหาได้ไม่ทั้งหมดแถมเป็นเชื้อโรคร้ายแพร่ไปทุกพรรค ชี้”แม้ว”บริหารประเทศไม่เป็นเพราะไม่อดทนพอ ขณะที่อดีตสสร.ติงกกต.ต้องเป็นกลาง หากคุมโกงเลือกตั้งไม่ได้ มีสิทธิเจอม็อบจลาจล

– “แม้ว”หายป่วยประเดิมถกไฟใต้งานแรก

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 14 พ.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกจากบ้านพักซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 มายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมรับฟังข้อเสนอของ 144 อาจารย์ จาก 18 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการเดินทางมาครั้งนี้เป็นการปฏิบัติภารกิจแรก หลังจากงดภารกิจ 2 วัน เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดและนอนพักรักษาตัวที่อยู่บ้านพัก โดยเมื่อมาถึง นายกฯได้แวะทักทายสื่อมวลชนด้วยสีหน้าสดใส อารมณ์ดีเป็นพิเศษ พร้อมให้สัมภาษณ์ถึงอาการป่วยว่า ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เมื่อถามถึงโรคหูดับที่นายกฯเคยเป็นก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็นแค่ไข้หวัด

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองเลขาธิการพรรคไทยรักไทยกล่าวว่า หลังจากพ.ต.ท.ทักษิณหายป่วยแล้ว พรรคไทยรักไทยจะเริ่มเดินหน้าหาเสียงอย่างจริงจังตั้งแต่สัปดาห์นี้ โดยพ.ต.ท.ทักษิณจะออกเดินทางทุกสัปดาห์ วันศุกร์จะไปต่างจังหวัดในช่วงเย็น แล้วขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงยังจุดหมายในช่วงค่ำ วันต่อไปจะหาเสียงในพื้นที่ใกล้เคียง ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯในเย็นวันอาทิตย์ เพื่อมาทำงานตามปกติในเช้าวันจันทร์ ส่วนวันธรรมดาจะใช้เวลาหลังเลิกงาน เดินทางไปหาเสียงยังจังหวัดปริมณฑลใกล้เคียงทุกวัน

– หึ่ง”ชูวิทย์”ยุบรวมพรรคปลาไหล

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ทั้งนี้ในเย็นวันที่ 15 พ.ย. พ.ต.ท.ทักษิณจะไปปราศรัยหาเสียงที่ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ แล้วไปค้างที่จ.อุบลราชธานี ก่อนเข้าประชุมครม.สัญจรในวันที่ 16 พ.ย. โดยวันที่ 17 พ.ย. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรค จะแถลงข่าวร่วมกับประธานภาค เกี่ยวกับตารางปราศรัยของหัวหน้าพรรคและแกนนำทั่วประเทศ ส่วนการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายของพรรคจะมีขึ้นวันที่ 11 ก.พ.48 ที่ท้องสนามหลวง และภายในสัปดาห์นี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะมีคำสั่งแต่งตั้งผอ.ศูนย์อำนวยการเลือกตั้งของพรรค เพื่อควบคุมดูแลและวางยุทธศาสตร์หาเสียงทั้งหมดด้วย

รายงานข่าวจากพรรคต้นตระกูลไทยแจ้งว่า ในวันที่ 15 พ.ย. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคต้นตระกูลไทย จะเรียกประชุมผู้บริหารพรรค เพื่อหารือและขอมติที่ประชุมพรรค เพื่อยุบพรรคต้นตระกูลไทยไปรวมกับพรรคชาติไทย โดยนายชูวิทย์ได้หารือกับนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ หลังประชุมเสร็จนายชูวิทย์ จะเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ และในช่วงบ่ายวันที่ 16 พ.ย. เวลา 10.00 น.ที่พรรคชาติไทย นายบรรหาร และแกนนำพรรคชาติไทยจะหารือกับคณะเตรียมการเลือกตั้งของพรรค และจะเปิดแถลงข่าวร่วมกับนายชูวิทย์ ถึงการยุบรวมพรรคอย่างเป็นทางการ

– “ซินตึ๊ง”ลั่นขอสู้แบบพระเจ้าตากสิน

เมื่อเวลา 09.00 น. นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ หัวหน้าพรรคมหาชน กล่าวภายหลังนำผู้บริหารพรรค ผู้สมัครส.ส.กรุงเทพฯทั้ง 37 เขต ไปสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ว่า การนำผู้สมัครส.ส.มาสักการะพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อเป็นนิมิตหมายด้านการเมือง เน้นต่อสู้ตามแบบที่พระเจ้าตากสิน เคยใช้มาแล้วเมื่อครั้งนำกำลังทหารเพียงน้อยนิดกอบกู้เอกราชกลับมาจากพม่า ตนต้องการให้อนุสติผู้สมัครของพรรคทุกคนว่า พระเจ้าตากสินมีความกล้าหาญและวางยุทธศาสตร์รบกับพม่าในสถานการณ์ที่ไม่พร้อม เสียเปรียบ และล่อแหลมอย่างมาก แต่ในที่สุดก็ชนะท่ามกลางความไม่พร้อม กอบกู้เอกราชคืนมาได้ วันนี้จึงอยากให้ผู้สมัครของพรรคยึดตามรอยทางของพระเจ้าตากสิน ที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว

“วันนี้เรากำลังต่อสู้กับพรรคที่เข้มแข็งทางด้านอำนาจและการเงิน แต่เป็นภัยต่อประเทศชาติ จะนำประเทศชาติสู่วิกฤต เราไม่มีทางสู้ได้ถ้านำเอาเรื่องเงินทองและอำนาจที่มีอยู่มาเทียบกัน ถือว่าเสียเปรียบมาก จึงฝากให้ผู้สมัครทุกคนลงพื้นที่คุยกับประชาชนถึงเรื่องนี้ว่าพรรคมหาชนจะสู้จนถึงที่สุด แม้ว่าไม่พร้อมก็อย่าวิตก ยิ่งถ้าประชาชนช่วยสนับสนุนเต็มที่ เรายิ่งไม่กลัว เพราะได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”นายเอนกกล่าว

– ป้องลูกพรรคไม่ได้เสี้ยมชท.-ทรท.

นายเอนกกล่าวต่อว่า ส่วนที่นายจเด็จ อินสว่าง เลขาธิการพรรค กล่าวถึงพรรคไทยรักไทยปฏิบัติต่อพรรคร่วมรัฐบาลแบบไม่ให้เกียรติกัน ถือว่าไม่ใช่การเสี้ยมให้พรรคไทยรักไทยกับชาติไทยทะเลาะกัน แต่เป็นเรื่องเสียมารยาท เพราะที่ผ่านมาพรรคอื่นที่เข้าไปร่วมรัฐบาลกับพรรคไทยรักไทย ต้องทนอยู่ด้วยความช้ำชอก เนื่องจากนายกฯไม่เคารพซึ่งกันและกัน เช่น การทำงานไม่ได้ให้สิทธิอันชอบธรรมต่อรัฐมนตรีจากพรรคอื่น อีกทั้งมักล้วงลูกและฮุบเอาผลงานเป็นของตัวเอง ถือเป็นธรรมเนียมที่นายกฯคนนี้ทำมาตลอด 4 ปี

“เวลานี้จึงอยู่ที่ว่าพรรคมหาชนจะทำอย่างไรให้พรรคไทยรักไทยได้ต่ำกว่า 250 เสียง เพื่อพรรคไทยรักไทยจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถ้าประชาชนเห็นด้วยกับพรรคมหาชน ก็ต้องไม่เลือก ส.ส.ไทยรักไทยไม่ลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคไทยรักไทย ต้องช่วยกันทำให้ไทยรักไทยได้ส.ส.ต่ำกว่า 250 เสียงให้ได้ และต้องช่วยกันว่าทำอย่างไรจะทำให้นายกรัฐมนตรีคนต่อไปไม่ใช่คนชื่อทักษิณ”นายเอนกกล่าว

– เสธ.โวมหาชน101เสียงเป็นแกนตั้งรบ.

จากนั้นเวลา 14.30 น.สภาองค์การลูกจ้าง สภาแรงงานแห่งประเทศไทย ได้จัดงานรวมพลคนแรงงาน โดยเชิญพรรคมหาชนมาแสดงวิสัยทัศน์นโยบายด้านแรงงาน มีผู้ใช้แรงงานในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเข้าร่วมงานกว่า 3,000 คน ที่อินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก ทั้งนี้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคมหาชนกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถสู้พรรคไทยรักไทยได้ พรรคมหาชนจึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่ด้อยโอกาสทางสังคม เนื่องจากพรรคเรามีบุคคลจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะนายประเทือง แสงสังข์ ประธานสภาแรงงานลงสมัครส.ส.พรรคมหาชนด้วย

พล.ต.สนั่นกล่าวโจมตีพ.ต.ท.ทักษิณว่า เป็นนายกฯที่เข้ามาบริหารประเทศ แม้จะเป็น”นายกฯอินเตอร์” แต่ประชาชนทุกสาขาอาชีพต่างได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานมีหนี้สินเพิ่มขึ้นจากกองทุนหมู่บ้าน

“พรรคมหาชนจะส่งผู้สมัคร 320 คน ผมคิดว่าผู้ใช้แรงงานจะช่วยกันสนับสนุนเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล เพราะจากที่ประเมินพรรคไทยรักไทยจะได้ไม่เกิน 250 เสียง ซึ่งในกทม.จะได้รับเลือกตั้งสักคนหรือไม่ยังไม่รู้ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้ 200 เสียงแล้วจะให้ 2 พรรคนี้มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลคงเป็นไปไม่ได้ ผมเชื่อว่าชาติหน้าตอนบ่ายๆก็รวมกันไม่ได้ ขณะที่พรรคมหาชนคาดว่าจะได้ 101 เสียงจะเป็นตัวยืนในการจัดตั้งรัฐบาล ขอให้จับตาดูอย่าเผลอ คนชื่อเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีทันที” พล.ต.สนั่นกล่าวและว่า ส่วนที่มีข่าวพรรคหมดเงินหรือกระสุนที่จะดูแลผู้สมัครนั้น ไม่เป็นความจริง ยืนยันจะสู้จนหยดสุดท้าย แม้จะไม่มีเงินถุงเงินถัง แต่มีเงินเพียงพอให้ผู้สมัครของพรรคลงเลือกตั้งได้ทุกคน

– บัญญัติย้ำอีกทรท.ไม่ถึง250ที่นั่ง

เวลา 10.00 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงพรรคไทยรักไทยอาจได้ส.ส.ไม่ถึง 250 เสียงว่า แนวโน้มที่ฟังมาก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่การประเมินเข้าข้างตนเอง แต่ฟังจากประชาชนทั่วไป เห็นว่าขณะนี้พรรคไทยรักไทยไม่อยู่ในฐานะที่จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ส่วนข่าวพรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกับพรรคชาติไทย มหาชน ตั้งรัฐบาลนั้น ตนยังไม่คิดไกลขนาดนั้น วันนี้เราทำ 2 อย่างคือ สร้างความเข้าใจกับประชาชนในสิ่งที่ถูกปิดกั้น ใช้เวทีปราศรัยสร้างความเข้าใจและขอการสนับสนุนเลือกผู้สมัครของพรรค วันนี้เราบอกประชาชนว่าพรรคอยากได้อย่างน้อย 200 ที่นั่ง พร้อมเป็นรัฐบาลได้ หรือเสียงไม่พอก็จะเป็นฝ่ายค้านที่แข็งแรงพร้อมรักษาประโยชน์ประชาชนมากกว่า 3 ปีที่ผ่านมา

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตอนนี้ขอทำ 2 อย่างนี้ก่อน เพราะหากพูดอะไรมากไป ก็จะถูกด่ากลับมาได้ ให้มีความชัดเจนว่าแต่ละพรรคจะได้เสียงเท่าใดก่อนจึงพูดเรื่องตั้งรัฐบาล เชื่อว่าทุกพรรคขณะนี้ทำโพลทั้งนั้น แต่จะมั่นใจว่าถูกต้องหรือไม่ต้องดูหลายส่วนประกอบ ขณะนี้ยังหาเสียงกันไม่เต็มที่ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด

– ปฏิเสธลั่นยังไม่คิดจับมือมหาชน-ชท.

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนยืนยันว่าไม่เคยให้สัมภาษณ์ถึงการจับมือจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยและพรรคมหาชน เพราะยังเร็วเกินไปที่จะพูด พรรคมุ่งมั่นเดินหน้าขอคะแนนเสียงให้ได้มากกว่า 200 เสียงเพื่อมีโอกาสตรวจสอบนายกฯและรัฐบาลมากกว่าคิดวางแผนจับมือกับใคร ส่วนที่นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย โจมตีพรรคประชาธิปัตย์ที่มองแต่มุมการเมืองไม่มองข้อเท็จจริงในการจัดงานเหลียวหลังแลหน้าของรัฐบาลนั้น พรรคไม่ได้มองมุมการเมืองแต่มองความจริงที่มีการเอาเปรียบพรรคอื่น และไม่มีมารยาททางการเมือง โดยรัฐบาลเอาเงินภาษีประชาชนไปจัดงานโฆษณาชวนเชื่อให้ตัวเอง และด่าพรรคประชาธิปัตย์ตลอด

“หากพรรคไทยรักไทยจะจัดงานโดยใช้เงินตัวเองมาชวนเชื่อคงไม่มีใครว่า การเอาเงินภาษีและใช้เวลาราชการมาทำงานสนองเป้าหมายยุทธศาสตร์พรรคให้ได้ส.ส. 400 เสียง เพื่อปิดกั้นการทำงานของฝ่ายค้าน พรรคมองว่าพรรคไทยรักไทยใช้การเมืองบังหน้าและแสวงประโยชน์ให้กับพรรคตนเองและพวกพ้อง โดยเสนอข้อเท็จจริงเพียงด้านเดียว และการที่บอกว่าคนวิจารณ์เรื่องนี้หน่อมแน้ม ผมมองว่านายกฯหน่อมแน้มมากกว่าที่ไม่ยอมรับความจริงเลย” นายองอาจกล่าว

– ฟุ้งกระแสตอบรับคาราวานดีเกินคาด

นายองอาจกล่าวถึงการจัดคาราวานประชาธิปไตยของพรรคว่า พรรคมั่นใจว่าน่าจะได้ส.ส.ในภาคตะวันออกเพิ่มมากกว่า 4 คนที่มีอยู่และน่าจะได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อเพิ่มมากขึ้นเพราะดูจากกระแสตอบรับของประชาชนมีมากขึ้น รวมทั้งประชาชนพอใจ 5 คำมั่นสัญญาของพรรคทั้งเรื่องเรียนฟรีมีคุณภาพ ล้างหนี้ด้วยงาน 60 ปีมีเบี้ยเลี้ยง รักษาฟรีมีคุณภาพ พรรคมั่นใจว่าการออกคาราวานครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ และจะจัดคาราวานลงไปอีกในภาคเหนือตอนล่าง คือ จ.ตาก กำแพงเพชร พิจิตร และนครสวรรค์ ในวันที่ 18-21 พ.ย.นี้

– กอร์ปศักดิ์โวยอย่ามัวแต่หลอกชาวบ้าน

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ข้าราชการกลัวว่าจะเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าที่รัฐบาลกำหนด ทำให้คนที่เดือดร้อน คือ ผู้เสียภาษี โดยกรมสรรพากรไปขอให้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นให้ได้ตามเป้า กระทรวงการคลังต้องเอาใจใส่และเป็นกระทรวงหลักในการดูแล แต่กลับมีการจัดงานกระทรวงการคลังสัญจรที่จ.สุพรรณบุรี จะมัวไปวิ่งหาเสียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องทำงานสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังจะนำกระทรวงต่างๆออกไปสัญจร แม้แต่กระทรวงที่ไม่ควรไปมากที่สุดก็เริ่มออกไปแล้ว

นายกอร์ปศักดิ์กล่าวว่า จากการนำเงินไปชดเชยราคาน้ำมันไว้ถึง 42,314 ล้านบาท และยังต้องตรึงราคาอยู่ ที่น่ากังวลที่สุดคือรัฐบาลจะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้จนกว่าการเลือกตั้งจะแล้วเสร็จ หมายความว่ารัฐบาลหลอกลวงประชาชนว่าน้ำมันราคาถูกเพื่อให้เศรษฐกิจดีไว้ก่อน หลังเลือกตั้งเสร็จประชาชนจะเดือดร้อนก็ไม่เป็นไร เพราะประชาชนไปเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลทำอย่างนี้ไม่ได้เพราะจะเป็นปัญหามาก ตนจึงอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาโดยเร็ว ให้ประชาชนยอมรับความจริงเพราะไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แต่เป็นความผิดของรัฐบาลถ้าไปตรึงราคาไว้โดยไม่บอกความจริงกับประชาชน โดยหลอกว่าราคาน้ำมันและราคาสินค้ายังถูกอยู่ อัตราเงินเฟ้อยังไม่เพิ่มสูงทั้งที่ความจริงมันพร้อมขึ้นแล้ว

– “อัมมาร”จวกทรท.-ปชป.มัวแต่หาเสียง

ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวบรรยายเรื่อง “นอกกรอบประชานิยม” ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวข้อสัมมนาทางวิชาการติดตามนโยบายสาธารณะ เรื่อง “4 ปี ประเทศไทย:ภาพจริง-ภาพลวง?” ที่จัดโดยสถาบันวิชาการ-องค์กรสาธารณะ 9 องค์กรว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาตนมองนโยบายหาเสียงของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยพบว่า หลักนโยบายของประชานิยมถือเป็นเกมการเมืองที่ทุกพรรคนำมาใช้หาเสียง ไม่ว่าพรรคไทยรักไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ และตอนนี้การขับเคี่ยวทางการเมืองคือการแย่งคะแนนเสียงด้วยนโยบายประชานิยม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด

“จากการติดตามผลงานของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย มีนโยบายอยู่ 2 เรื่องที่ยังไม่ได้ทำ คือนโยบายปฏิรูปการศึกษา และนโยบายการปราบปรามคอร์รัปชั่น แต่มีหลายนโยบายที่น่าชื่นชมเช่น นโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะประชาชนได้ประโยชน์ แต่จะเป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จหรือไม่ เรายังขาดการประเมินที่เป็นระบบ”นายอัมมารกล่าว

– ฉะลูกหลานนักการเมืองฮุบธุรกิจบริการ

นักวิชาการเกียรติคุณกล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไทยรักไทยมีความฉลาดในการใช้เงินงบประมาณ โดยปัญหาที่เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน การพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกร เป็นต้น ซึ่งไม่สามารถทวงเงินคืน ก็จะผลักภาระให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน ดำเนินการแทน อย่างไรก็ตาม ข้อผิดพลาดของรัฐบาลคือการผลักดันให้ประชาชนในระดับรากหญ้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจผู้ผลิตสินค้าแทนกลุ่มนายทุน หรือนโยบายเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นเรื่องน่าห่วงเพราะนโยบายนี้หลายรัฐบาลเคยทำมาแล้วและพบว่ามีความเสี่ยงสูง โอกาสสำเร็จมีน้อย อัตราการชำระหนี้คืนอยู่ในระดับศูนย์เปอร์เซ็นต์ นโยบายเอสเอ็มอีจะไม่เหมาะสมและไม่ควรทำ แต่ตนไม่รู้ว่ารัฐบาลตั้งใจจะเอาเงินที่ให้กู้ไปคืนหรือไม่

“นอกจากนี้ผมเห็นว่ารัฐบาลนี้ตั้งหน้าตั้งตาใช้ธนาคารของรัฐในการกระตุ้นอุปสงค์ด้านการเมือง จนเกิดปัญหาไม่สามารถกระตุ้นกำลังการผลิตที่แท้จริงได้ ระบบอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของคนต่างชาติที่พรรคพวกของตัวเองมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งการหาประโยชน์จากกับคนไทยถือว่าหนักที่สุด และธุรกิจในปัจจุบันนี้ที่เป็นธุรกิจการตลาด การโฆษณา หรือการบริการที่เป็นธุรกิจสนุกของประเทศ ก็ตกเป็นของคนหนุ่มสาว ลูกหลานนักการเมือง”นายอัมมารกล่าว

– ชี้”ประชานิยม”เป็นเชื้อร้ายแพร่ทุกพรรค

นายอัมมารกล่าวว่า มีการพูดกันมากว่านายกฯเป็นคนชอบของใหม่ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงมองว่าเป็นคนมีวิสัยทัศน์ ทำให้คนมีความหวังว่าคนไทยจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยี โดยจะไม่เป็นผู้ตาม ซึ่งตรงนี้เราต้องหันกลับมาดูว่าขีดความสามารถของคนไทยมีมากน้อยแค่ไหน เพราะขณะนี้ขีดความสามารถของคนไทยต้องได้รับการปรับปรุง ขณะที่ระบบการศึกษายังไม่ได้รับการปฏิรูป รวมทั้งแรงงานไทยยังไม่มีทักษะความรู้และศักยภาพที่เพียงพอ สาเหตุหนึ่งคือไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษา เพราะรัฐบาลมัวแต่ไปกระตุ้นอุปสงค์เพื่อตอบสนองแต่นโยบายประชานิยม หลักของพรรคไทยรักไทยเวลานี้ได้แพร่กระจายเป็นโรคติดเชื้อไปยังพรรคอื่นๆ

“เรื่องนโยบายประชานิยม ขอให้ประชาชนดูคุณภาพ อย่าดูแต่วงเงิน ต้นทุน อัตราเสี่ยง อะไรที่ไม่กระทบกับคนไทย รวมทั้งไม่ควรให้มันเป็นโจทย์ที่ถูกกำหนดด้วยวาระทางการเมือง เช่น เอสเอ็มอีที่ดูเหมือนจะเป็นความต้องการพยายามสร้างทักษิณขึ้นมาอีก 60 ล้านคน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจำเป็นต้องเข้มงวดต่อระบบการปล่อยกู้ในระบบธนาคารของรัฐ ซึ่งผมเป็นห่วงมากเกี่ยวกับการบั่นทอนความเข้มงวดของระบบธนาคาร ที่รัฐบาลมองธนาคารรัฐเป็นพระคลังข้างที่ไปหมด เราเคยเจอวิกฤตจากความฟุ่มเฟือยของนายธนาคาร เราไม่ต้องการให้ระบบนี้กลับมาอีก ดังนั้นจะต้องไปแก้ไขและดูแลกันใหม่”นักวิชาการเกียรติคุณกล่าว

– ฟันธง”แม้ว”บริหารปท.ไม่เป็น

นายอัมมารกล่าวว่า นายกฯคนนี้สร้างสถาบันขึ้นมายังไม่พอ มิหนำซ้ำยังทำลายสถาบันอื่น ท่านฉลาดเก่งในเรื่องธุรกิจ รู้ว่ามือถือคืออนาคต แต่ท่านไม่ได้เป็นผู้บริหารที่เก่ง แต่ฉลาดเลือกที่จะใช้คนเป็นผู้บริหาร พอมาเป็นผู้บริหารประเทศก็มีความคิดใหม่ที่ดีๆเยอะ และเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ ท่านจะรื้อระบบใหม่หมด อย่างเรื่องการปฏิรูประบบราชการ ที่พยายามกันมา 30-40 ปี แต่ใน 4 ปีที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน จะดีขึ้นหรือเลวลงไม่รู้ แต่ที่เห็นคือระบบระส่ำระสาย เพราะไม่มีคนบริหารจัดการ เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ต้องมีการตามล้างตามเช็ดกันวุ่นวาย

“2 ปีแรกนายกฯลุยงานตลอด ท่านเก่งจริงๆ แต่พอท่านอ่อนลง กระแสของปัญหาก็ย้อนกลับมา ซึ่งท่านก็แก้ไม่ได้ เช่น ไข้หวัดนก หรือปัญหาภาคใต้ เพราะเป็นปัญหาที่ต้องแก้อย่างเป็นระบบ มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ต้องใช้ความอดทนใช้วิจารณญาณ แต่ท่านไม่ใช้ความอดทนกับปัญหา พยายามเร่งแก้ปัญหาให้เสร็จเร็ว ซึ่งมันทำไม่ได้ มันไม่ใช่ธุรกิจที่ท่านไม่พอใจผู้บริหารคนใดก็เปลี่ยนตัวคนนั้น และไม่มีการตรวจสอบผลตอบรับของโครงการต่างๆ มีแต่สำนักงานสถิติแห่งชาติที่คอยเป็นผู้แก้ต่างให้รัฐบาล คนดีคนเก่งก็โดนท่านย้ายกระจัดกระจายไปหมด ด้วยความเคารพท่านซีอีโอผู้ยิ่งใหญ่ ท่านบริหารไม่เป็น”นายอัมมารกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อบริหารงานไม่เป็นควรให้นายกฯทำอย่างไร นายอัมมารกล่าวว่า ตนไม่รู้เพราะไม่ใช่เรื่องของตน แต่เมื่อครั้งบริหารงานที่ทีดีอาร์ไอ เมื่อรู้ตัวว่าบริหารไม่เป็นตนจึงลาออก เมื่อถามว่าดังนั้นนายกฯต้องลาออกหรือไม่ นายอัมมารกล่าวว่า ไม่รู้เป็นเรื่องของเขา สำหรับตนเมื่อรู้ตัวว่าบริหารไม่เป็นก็ลาออก

– อดีตสสร.ติงกกต.ควรเป็นกลาง

นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) กล่าวถึงกกต.ระบุการจัดงานเหลียวหลังแลหน้าฯ ไม่ถือเป็นการหาเสียง เนื่องจากยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศเลือกตั้งว่า เป็นการวินิจฉัยที่เข้าข้างฝ่ายรัฐบาลมากเกินไป เพราะทุกคนที่ไปปรากฏตัวเป็นเจ้าภาพในงานนี้ ตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณลงมาได้ประกาศตัวจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้นการจัดงานนี้โดยเกณฑ์คนทั่วประเทศมาร่วมงาน และมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นข่าวครึกโครมทั่วประเทศ หากไม่เรียกว่าหาเสียงแล้วจะเรียกว่าอะไร ซึ่งพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานกกต.ไม่เคยเป็นนักการเมือง หรือลงสมัครรับเลือกตั้ง และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมการจัดการหรือควบคุมการเลือกตั้งมาก่อน อาจไม่ทราบความหมายของคำว่าหาเสียง

“เช่นเดียวกับเคยวินิจฉัยว่า พล.ต.ต.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่เปิดตัวเป็นรองผู้ว่าฯกทม. ทั้งที่ยังอยู่ในตำแหน่งข้าราชการระดับสูงได้โดยไม่ผิดกฎหมาย จึงขอเสนอให้หารือกับอดีตกกต. ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์ ส่วนดาราและพิธีกรโทรทัศน์หลายคนที่ประกาศลงสมัครในนามพรรคไทยรักไทยได้อยู่ร่วมในขบวนการปรากฏตัว รวมทั้งขึ้นปราศรัยหาเสียงหลายครั้ง แต่กกต.ไม่ท้วงติงอะไรเลย โดยเฉพาะยังปรากฏตัวและมีกิจกรรมออกอากาศทางโทรทัศน์เหมือนเดิม ซึ่งหากใครไปถามกกต. เป็นการถือโอกาสใช้สื่อโทรทัศน์หาเสียง เอาเปรียบผู้สมัครคนอื่นหรือไม่ คำตอบที่ได้คงเป็นแบบเดียวกันคือไม่ผิดกฎหมาย เนื่องจากยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ”นายคณินกล่าว

– คุมโกงเลือกตั้งไม่ได้อาจเจอม็อบจลาจล

อดีตส.ส.ร.กล่าวต่อว่า ถ้าคิดแบบนี้วินิจฉัยแบบนี้ไม่ต้องมีกกต.ก็ได้ เพราะสมัยก่อนที่กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัดการเลือกตั้ง ยังไม่ยอมให้ดาราและพิธีกรโทรทัศน์ที่เปิดตัวลงสมัครไปออกอากาศ หรือเอาเทปมาออกอากาศหลังจากเปิดตัวแล้ว จึงเป็นห่วงกกต.ชุดนี้จริงๆ ที่ผ่านมาดูเหมือนจะใช้ความเด็ดขาดลงโทษ หรือห้ามปรามเฉพาะพวกปลาซิวปลาสร้อย หรือพรรคฝ่ายค้านเท่านั้น แต่พรรครัฐบาลโดยเฉพาะพรรคไทยรักไทยดูจะหงอไปเสียทุกอย่าง ทั้งนี้การเลือกตั้งครั้งต่อไปมีเดิมพันสูงมาก ถ้ากกต.คุมโกงในเลือกตั้งไม่ได้ ระวังคนจะแห่มาประท้วงเป็นแสน จนเกิดเหตุจลาจลเหมือนการเลือกตั้งสกปรกในอดีต ดังนั้นอย่ามัวแต่เฉื่อยแฉะ ทำเช้าชามเย็นชาม และพูดจาเข้าข้างรัฐบาล เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันไปหมด

– “เติ้ง”วางตัวเจ้าพ่ออ่างคุมพื้นที่กทม.

แหล่งข่าวจากพรรคต้นตระกูลไทย เปิดเผยว่า ยอมรับว่าพรรคต้นตระกูลไทยจะยุบเข้าไปรวมกับพรรคชาติไทยจริง โดยนายชูวิทย์ จะแถลงข่าวที่พรรคในวันที่ 15 พ.ย.เวลา15.00น.ถึงเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายชูวิทย์ ได้แจ้งให้สมาชิกพรรคทราบแล้วว่าจำเป็นต้องยุบรวมเพราะเท่าที่ดูสถานการณ์การเมืองแล้วสู้ไม่ไหว โดนพรรคใหญ่บีบ ที่สำคัญเงินทุนของพรรคหมดแล้ว หากอยู่ต่อไปก็สู้ไม่ไหว จึงเลือกไปอยู่พรรคชาติไทย ซึ่งนายชูวิทย์ เห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลงจากหลังเสือ

แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า เรื่องการยุบไปรวมกับพรรคชาติไทยนั้น มีแนวคิดมานานแล้วตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. โดยนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย เป็นผู้ประสานกับนายชูวิทย์ แต่ช่วงนั้นยังไม่มีการตกลงกัน จนกระทั่งรู้ผลผู้ว่าฯกทม. นายบรรหาร จึงนัดนายชูวิทย์ ไปพูดคุยที่ร้านอาหารย่านอ.ส.ม.ท. และมีการพูดคุยกันเรื่อยมาจนนายชูวิทย์ มั่นใจว่าสถานการณ์สู้พรรคอื่นไม่ได้ จึงตัดสินใจยุบรวมเข้าพรรคชาติไทย โดยนายบรรหาร ยื่นข้อเสนอให้นายชูวิทย์ ลงส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ดูแลพื้นที่เลือกตั้งกทม. เพราะมั่นใจว่าจะได้ 3 แสนคะแนนจากคนกทม.ที่เคยเทให้นายชูวิทย์ มาช่วยดึงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคชาติไทย