ปมเงินหลายร้อยล้าน: เบื้องหลังความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้น
จากกรณีอื้อฉาวที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย อดีตพระธรรมวชิรานุวัตร หรือที่รู้จักกันในนาม “ทิดแย้ม” อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม และอดีตเจ้าคณะภาค 14 ถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตยักยอกเงินจากบัญชีธนาคารของวัดโอนเข้าบัญชีส่วนตัว เพื่อนำไปเล่นพนันบาคาร่าออนไลน์ มูลค่ามหาศาลกว่า 847 ล้านบาท ล่าสุดมีการเปิดเผยข้อมูลเด็ดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง “ทิดแย้ม” กับ น.ส.อรัญญาวรรณ วังทะพันธ์ หรือ “สีกาเก็น” โบรกเกอร์เว็บพนันที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอดีตเจ้าอาวาส
หลักฐานชี้ชัด: เริ่มต้นความสัมพันธ์ตั้งแต่ปี 2563
ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากตำรวจชุดทำคดีว่า จากการตรวจสอบหลักฐานการสื่อสารระหว่าง “ทิดแย้ม” กับ น.ส.อรัญญาวรรณ พบว่าทั้งคู่เริ่มมีการพูดคุยในลักษณะแทะโลมกันตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งในช่วงเวลานั้น “ทิดแย้ม” ยังคงดำรงสมณเพศและมีตำแหน่งสำคัญในคณะสงฆ์ ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีมายาวนานกว่าที่สาธารณชนเคยรับรู้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการทุจริตที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา
เส้นทางการเงินปริศนา: โอนเงินมากกว่า 300 ล้านบาท
จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินโดยละเอียด เจ้าหน้าที่พบการโอนเงินจำนวนมหาศาลจาก “ทิดแย้ม” ไปยังบุคคลใกล้ชิดหลายคน โดยพบว่ามีการโอนเงินให้ นายเอกพจน์ ภูฆัง อดีตพระมหาเอกพจน์ ซึ่งเป็นพระลูกวัดคนสนิทถึง 300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบเส้นทางการเงินปริศนาที่กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ มีการโอนเงินไปให้นายเอกพจน์อีก 200 ล้านบาท และมีการโอนให้ชายคนสนิทอีกรายหนึ่งภายในวัดอีก 60 ล้านบาท
ตำรวจเปิดเผยว่า ชายปริศนาคนนี้เข้ามาประจบ “ทิดแย้ม” ตั้งแต่สมัยที่ยังบวชเป็นพระ โดยกล่าวอ้างว่ามีเงินและรถยนต์มาให้ “ทิดแย้ม” ใช้ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่ซับซ้อนในการยักยอกเงินวัด
ตัวเลขน่าตกใจ: เฉพาะ 1 เดือนโอนให้ “สีกาเก็น” ถึง 80 ล้านบาท
ข้อมูลที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ จากการตรวจสอบบัญชีระหว่าง “ทิดแย้ม” กับ น.ส.อรัญญาวรรณ ในช่วงปี 2565-2566 พบว่าเฉพาะในปี 2566 ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น “ทิดแย้ม” โอนเงินให้กับ น.ส.อรัญญาวรรณ ถึง 80 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากและแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์พิเศษที่ทั้งคู่มีต่อกัน
เจ้าหน้าที่เชื่อว่า น.ส.อรัญญาวรรณ น่าจะมี “ของดี” หรือข้อมูลบางอย่างที่ทำให้สามารถควบคุม “ทิดแย้ม” และรีดไถเงินได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นหลักฐานแบล็คเมล์ที่ทำให้ “ทิดแย้ม” ต้องยอมโอนเงินจำนวนมหาศาลให้กับเธอ
ตัวเลขยังไม่นิ่ง: คาดยอดรวมทุจริตอาจสูงกว่า 300 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากตำรวจเปิดเผยว่า ตัวเลข 300 ล้านบาทที่มีการตรวจพบนั้น เป็นเพียงการสืบทราบในระยะเวลาเพียงแค่ 1-2 ปีเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทุจริตดังกล่าวเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลากว่า 4 ปี ตั้งแต่ปี 2563 ดังนั้น ยอดเงินทุจริตที่แท้จริงอาจสูงกว่า 300 ล้านบาทอย่างแน่นอน และอาจใกล้เคียงกับตัวเลข 847 ล้านบาทที่มีการกล่าวหาในตอนแรก
การตรวจสอบบัญชีวัด: ช่องทางรายได้หลายช่องทางที่ถูกนำไปใช้ส่วนตัว
เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการรื้อตรวจสอบบัญชีของ “ทิดแย้ม” และบัญชีวัดทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนมาก โดยได้ประสานงานกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้เข้าตรวจสอบเรื่องการเงินของวัดทั้งหมด
จากการสืบสวนพบว่า ภายในวัดมีตู้บริจาคและการซื้อดอกไม้ธูปเทียนที่มีรายได้เข้าวัดทุกวันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเงินจำนวนนี้ถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของ “ทิดแย้ม” โดยตรง ก่อนจะมีการโอนต่อไปยังบัญชีของคนสนิท นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำเงินบางส่วนไปซื้อรถยนต์หรูให้ “ทิดแย้ม” ใช้ส่วนตัวอีกด้วย
เครือข่ายผู้เกี่ยวข้อง: สอบปากคำแล้ว 11 คน
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้วทั้งสิ้น 11 คน ประกอบด้วย ไวยาวัจกร พระลูกวัด และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินภายในวัด จากการสอบปากคำพบว่า ไวยาวัจกรและกรรมการวัดบางรายมีพฤติกรรมลงนามหนังสือเบิกเงินไว้ล่วงหน้า ทำให้เมื่อ “ทิดแย้ม” ต้องการใช้เงินของวัดจำนวนเท่าไหร่ ก็สามารถเบิกเงินได้ทันที เนื่องจากบุคคลที่มีอำนาจได้ลงชื่อไว้แล้ว
การดำเนินการต่อไป: รอประชุมและแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ
สำหรับประเด็นเรื่องการลงนามหนังสือเบิกเงินไว้ล่วงหน้านั้น เจ้าหน้าที่จะต้องเรียกบุคคลที่มีอำนาจที่ได้ลงชื่อไว้มาสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง แต่ยังไม่สามารถระบุวันและเวลาได้ เนื่องจากจะต้องรอพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และเข้าที่ประชุม โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นผู้ร่วมประชุม และรอการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
ขยายผลพยานที่เกี่ยวข้อง: อาจเรียกสอบปากคำเพิ่มเติม
สำหรับพยานที่เคยให้ปากคำไปแล้ว หากพบว่ามีความเชื่อมโยงทั้งในแง่ของเส้นทางการเงินและการมีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิด เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกมาสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี
คดีที่สั่นสะเทือนศรัทธา: บทเรียนของการขาดการตรวจสอบ
คดีทุจริตที่เกิดขึ้นกับวัดไร่ขิงนับเป็นบทเรียนสำคัญของสังคมไทยในแง่ของการขาดระบบการตรวจสอบที่เข้มแข็งในองค์กรทางศาสนา ความไว้วางใจที่มีต่อพระภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะผู้ที่มีตำแหน่งสูงอาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้ หากขาดการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจที่เหมาะสม
ผลกระทบต่อวงการสงฆ์: ความท้าทายในการฟื้นฟูศรัทธา
คดีนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนที่มีต่อวงการสงฆ์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้กระทำความผิดเป็นถึงอดีตเจ้าอาวาสวัดสำคัญและเคยดำรงตำแหน่งสูงในคณะสงฆ์ การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนจึงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทั้งคณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มาตรการป้องกันในอนาคต: การปฏิรูประบบการเงินของวัด
หนึ่งในบทเรียนสำคัญจากคดีนี้คือความจำเป็นในการปฏิรูประบบการเงินและการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น การกำหนดระเบียบและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการดูแลเงินบริจาคและทรัพย์สินของวัด รวมถึงการมีระบบการตรวจสอบที่เข้มแข็งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกรณีทุจริตในลักษณะเดียวกันนี้ในอนาคต
ความคืบหน้าในการจับกุมผู้เกี่ยวข้อง: ทิดแย้มถูกปฏิเสธการประกันตัว
ล่าสุด ศาลได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ทิดแย้ม” และ น.ส.อรัญญาวรรณ เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีความร้ายแรง มีพยานหลักฐานที่น่าเชื่อว่าผู้ต้องหากระทำความผิดจริง และอาจมีการหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
ญาติและลูกศิษย์ของ “ทิดแย้ม” ได้นำยาประจำตัวและข้าวต้มมาเยี่ยมที่ห้องขังชั่วคราว ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัวไปฝากขังที่ศาล โดยระหว่างการนำตัวไปศาล “ทิดแย้ม” เดินอย่างสงบและไม่ตอบคำถามของสื่อมวลชนแต่อย่างใด
เส้นทางการสืบสวนที่ซับซ้อน: บทบาทของเทคโนโลยีในการสืบสวน
การสืบสวนคดีนี้มีความซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินย้อนหลังหลายปี วิเคราะห์ข้อมูลการสื่อสารระหว่างผู้เกี่ยวข้อง และประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
การใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analysis) และการติดตามเส้นทางการเงิน (Financial Trail Investigation) มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างผู้เกี่ยวข้องและค้นพบหลักฐานสำคัญในคดีนี้
การใช้ชีวิตหรูหราของอดีตเจ้าอาวาส: รถยนต์หรูและทรัพย์สินราคาแพง
จากการเปิดเผยข้อมูลของเจ้าหน้าที่ พบว่า “ทิดแย้ม” มีการใช้ชีวิตอย่างหรูหรา มีการนำเงินของวัดไปซื้อรถยนต์หรูราคาแพงหลายคัน และมีทรัพย์สินมูลค่าสูงหลายรายการ ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพระสงฆ์ที่ควรจะเป็น
ปฏิกิริยาของสังคม: วิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องความโปร่งใส
คดีนี้ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมไทย และนำมาสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดให้มีความโปร่งใสมากขึ้น มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจที่ชัดเจน รวมถึงการพิจารณาทบทวนบทบาทและอำนาจของเจ้าอาวาสในการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
บทสรุป: บทเรียนราคาแพงของสังคมไทย
คดีทุจริตที่เกิดขึ้นกับวัดไร่ขิงถือเป็นบทเรียนราคาแพงของสังคมไทยที่ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจในทุกองค์กร รวมถึงองค์กรทางศาสนา การมีระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้จะช่วยป้องกันการทุจริตและรักษาศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสถาบันต่างๆ ในสังคมได้อย่างยั่งยืน
ขณะที่การสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป สังคมไทยยังคงติดตามความคืบหน้าของคดีนี้อย่างใกล้ชิด ด้วยความหวังว่าความจริงทั้งหมดจะถูกเปิดเผย ผู้กระทำผิดจะได้รับการลงโทษตามกฎหมาย และจะมีการปฏิรูประบบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ในอนาคต