พิธีบวงสรวงอันยิ่งใหญ่: เปิดเลขหางประทัดแดง ท้าวเวสสุวรรณ 4 กร ณ วัดหลวงพ่อห้ามจน

ข่าวด่วนวันนี้

พิธีบวงสรวงอันยิ่งใหญ่: เปิดเลขหางประทัดแดง ท้าวเวสสุวรรณ 4 กร ณ วัดหลวงพ่อห้ามจน

ในวันที่ 27 เมษายน พุทธศักราช 2568 บรรยากาศแห่งความศรัทธาได้เนืองแน่นขึ้น ณ วัดใหม่สามัคคี (หนองโสน) หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนาม “วัดหลวงพ่อห้ามจน” ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยโป่ง อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้จัดให้มีพิธีบวงสรวงอันยิ่งใหญ่เพื่อเปิดประตูเมืองท้าวเวสสุวรรณ ในนาม “ท้าวหิรัญพัชร์” ปางจตุมหาราช 4 กร ผู้ถือหีบสมบัติอันล้ำค่า

ความเป็นมาของท้าวเวสสุวรรณ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ท้าวกุเวร” นั้น เป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในคติความเชื่อของพุทธศาสนา ทรงเป็นหนึ่งในจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้ปกครองทิศเหนือ มีหน้าที่คุ้มครองรักษามนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งปวง ท้าวเวสสุวรรณยังเป็นที่รู้จักในฐานะเทพแห่งโชคลาภและความมั่งคั่ง ผู้สามารถประทานพรให้แก่ผู้เคารพบูชาด้วยความจริงใจ

พิธีบวงสรวงในวันนั้นถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสง่างาม มีการตกแต่งสถานที่ด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ธูปเทียน และเครื่องสักการะต่าง ๆ มากมาย เพื่อแสดงความเคารพต่อองค์เทพ บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นธูปหอมและเสียงสวดมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนจำนวนมากต่างหลั่งไหลมาร่วมในพิธีอันสำคัญนี้ ทั้งชาวบ้านในพื้นที่และผู้ศรัทธาจากต่างถิ่น ทุกคนมาด้วยความหวังที่จะได้รับพรและความเป็นสิริมงคลจากท้าวเวสสุวรรณ

จุดเด่นของพิธีคือการอัญเชิญองค์ “ท้าวสุพรรณพัชร์” ซึ่งมีความสูงถึง 5.5 เมตร มาประดิษฐานไว้ที่บริเวณหน้าซุ้มประตูวัด องค์ท้าวสุพรรณพัชร์นี้ได้รับการสร้างขึ้นด้วยความประณีตและศรัทธาอย่างสูง โดยช่างฝีมือชั้นเยี่ยม รูปเคารพอันงดงามนี้จะเป็นเสมือนเทพผู้ปกปักรักษาและคุ้มครองวัดแห่งนี้ รวมถึงผู้ที่เข้ามาสักการะด้วยความเลื่อมใส

ในช่วงพิธีการ พระสงฆ์ได้ทำการสวดบทมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ พร้อมทั้งประพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้เข้าร่วมพิธีทุกคนต่างนั่งประนมมือด้วยความสงบและเลื่อมใสศรัทธา มีการถวายดอกไม้ ธูปเทียน และเครื่องสักการะต่าง ๆ แด่องค์เทพเจ้า พิธีกรรมดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบและสวยงาม ตามธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ

เมื่อพิธีบวงสรวงดำเนินมาถึงช่วงสำคัญ ได้มีการจุดประทัดแดงเสียงดังสนั่นกึกก้อง เปลวไฟและควันจากประทัดแดงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ร่วมงานทุกคน เสียงประทัดที่ดังกระหึ่มนั้นเชื่อกันว่าจะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายและอัปมงคลทั้งปวงให้ออกไปจากวัดและชุมชน พร้อมทั้งเรียกความเป็นสิริมงคลและโชคลาภเข้ามาแทนที่

หลังจากเสียงประทัดสงบลง สิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ “เลขหางประทัด” ซึ่งเป็นประเพณีความเชื่อที่สืบทอดกันมายาวนานในสังคมไทย โดยเชื่อว่าตัวเลขที่ปรากฏบนเศษกระดาษประทัดที่หลงเหลืออยู่หลังการจุดนั้น เป็นตัวเลขมงคลที่องค์เทพประทานมาให้ ผู้คนต่างช่วยกันค้นหาและเก็บเศษกระดาษเหล่านั้นด้วยความตื่นเต้น

ในครั้งนี้ เลขมงคลที่ปรากฏจากหางประทัดแดงคือ “58” และ “539” ซึ่งทันทีที่มีการประกาศตัวเลขดังกล่าว ผู้คนต่างจดบันทึกไว้ด้วยความหวังว่าจะนำโชคลาภมาสู่ตนเอง บางคนเตรียมนำไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลในงวดถัดไป ด้วยความเชื่อว่าตัวเลขเหล่านี้จะนำพาความมั่งคั่งและโชคดีมาให้

นอกจากพิธีกรรมและความเชื่อเรื่องเลขมงคลแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย มีการออกร้านจำหน่ายวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง และสินค้าพื้นเมือง รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิด บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นและความสุข ผู้คนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความเชื่อ เกิดเป็นสายสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชน

วัดหลวงพ่อห้ามจนแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านความศักดิ์สิทธิ์มายาวนาน โดยเฉพาะในเรื่องของการขจัดความยากจน ดังชื่อ “ห้ามจน” อันเป็นที่มาของสมญานามวัด ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาสักการะและขอพรเพื่อความเจริญรุ่งเรือง การได้มีพิธีบวงสรวงเปิดประตูเมืองท้าวเวสสุวรรณในครั้งนี้ ยิ่งเพิ่มความศรัทธาและความเชื่อมั่นในพลังแห่งพรอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยดลบันดาลให้ชีวิตพบเจอแต่สิ่งดี ๆ

ในมุมมองทางพระพุทธศาสนา แม้จะสอนให้พุทธศาสนิกชนพึ่งพาตนเองและกระทำความดีเป็นหลัก แต่การบูชาเทพเจ้าอย่างท้าวเวสสุวรรณก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อที่ผสมผสานกันมาอย่างกลมกลืนในสังคมไทย เป็นเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและให้กำลังใจในการดำเนินชีวิต การได้มีที่พึ่งทางใจย่อมสร้างความมั่นคงทางจิตใจ และนำไปสู่ความสุขและความสำเร็จในที่สุด

พิธีบวงสรวงท้าวเวสสุวรรณ 4 กร ในครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาในองค์เทพเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการรวมพลังความเชื่อและความศรัทธาของผู้คนในชุมชน สร้างความสามัคคีและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมถึงเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของไทยให้คงอยู่สืบไป

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อเรื่องเทพเจ้า เลขมงคล หรือพลังแห่งศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและความเป็นไทยที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ควรค่าแก่การรักษาและสืบสานให้คงอยู่คู่สังคมไทยตลอดไป