ระวัง! ด่าทรัมป์อาจทำให้ชวดวีซ่าสหรัฐฯ – คำสั่งใหม่บังคับ FPU ตรวจสอบโซเชียลมีเดียอย่างเข้มงวดก่อนออกวีซ่านักเรียนต่างชาติ

ข่าวด่วนวันนี้

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ทั่วโลกเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบกิจกรรมบนโซเชียลมีเดียของผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าเข้าประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักเรียนและนักศึกษาแลกเปลี่ยน เป้าหมายหลักคือการคัดกรองและสกัดกั้นบุคคลที่มีประวัติวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นโยบายสนับสนุนอิสราเอล หรือผู้ที่แสดงความเห็นสนับสนุนปาเลสไตน์ ไม่ให้ได้รับอนุญาตเดินทางเข้าประเทศ

คำสั่งดังกล่าวถูกส่งถึงหน่วยงานทางการทูตสหรัฐฯ ทั่วโลกเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ระบุให้เจ้าหน้าที่กงสุลต้องส่งต่อข้อมูลของผู้ขอวีซ่าที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยไปยังหน่วยงานป้องกันการทุจริตของสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ (Fraud Prevention Unit: FPU) เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อมูลโซเชียลมีเดียอย่างละเอียดและเข้มงวด โดยเฉพาะการค้นหาโพสต์หรือความคิดเห็นที่อาจตีความได้ว่าเป็น “ทัศนคติเป็นปฏิปักษ์” ต่อสหรัฐอเมริกา

ตามรายละเอียดของคำสั่ง พฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การปฏิเสธวีซ่าทันที ได้แก่ การวิจารณ์นโยบายรัฐบาลสหรัฐฯ การโพสต์ข้อความที่วิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ในเชิงลบ การแสดงจุดยืนที่ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในประเด็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ หรือการมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง

มาตรการใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “จับและเพิกถอน” (Catch And Revoke) ภายใต้การบริหารของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมบนโซเชียลมีเดียของผู้ถือวีซ่า เพื่อระบุตัวบุคคลที่อาจมีส่วนร่วมในการก่อความไม่สงบทางการเมืองในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในพื้นที่มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา

รูบิโอเปิดเผยว่าภายใต้โครงการดังกล่าว มีการเพิกถอนวีซ่าที่เคยได้รับอนุมัติไปแล้วกว่า 300 ฉบับ โดยส่วนใหญ่เป็นวีซ่าของนักศึกษาต่างชาติที่มีประวัติเข้าร่วมการชุมนุมสนับสนุนปาเลสไตน์ที่จัดขึ้นในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา

“เรามอบวีซ่าให้คุณเพื่อมาเรียนหนังสือ มาเอาวุฒิการศึกษา ไม่ใช่เพื่อมาเป็นนักเคลื่อนไหวที่ก่อความปั่นป่วนในมหาวิทยาลัยของเรา” รูบิโอกล่าวในการแถลงข่าว พร้อมเน้นย้ำว่าการกลั่นกรองนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ

แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ชี้แจงว่าการตรวจสอบโซเชียลมีเดียไม่ใช่มาตรการใหม่แต่อย่างใด หากแต่เป็นหนึ่งในขั้นตอนด้านความมั่นคงที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2019 โดยผู้สมัครวีซ่าทุกคนต้องระบุบัญชีโซเชียลมีเดียของตนในแบบฟอร์มขอวีซ่าอยู่แล้ว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบและเกณฑ์การพิจารณาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวได้สร้างความกังวลอย่างมากในหมู่นักสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการทั่วโลก โดยมองว่าการตรวจสอบโซเชียลมีเดียอย่างเข้มงวดโดยภาครัฐเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุคคล และอาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง

สมาคมเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) ออกแถลงการณ์คัดค้านมาตรการนี้ โดยระบุว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ให้การคุ้มครอง และอาจนำไปสู่การสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวในหมู่นักศึกษาต่างชาติ

ด้านสมาพันธ์นักศึกษานานาชาติในสหรัฐฯ (ISEF) แสดงความกังวลว่ามาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อจำนวนนักศึกษาต่างชาติที่เลือกศึกษาต่อในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1 ล้านคน และสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ กว่า 45,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

คณบดีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ หลายแห่งรวมตัวกันออกจดหมายเปิดผนึกถึงทำเนียบขาว เรียกร้องให้ทบทวนมาตรการดังกล่าว โดยอ้างว่าความหลากหลายทางความคิดและวัฒนธรรมเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาระดับอุดมศึกษา และการปิดกั้นอิสรภาพในการแสดงความคิดเห็นจะส่งผลเสียต่อคุณภาพการศึกษาในระยะยาว

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศแนะนำให้ผู้ที่วางแผนจะขอวีซ่าไปสหรัฐฯ ระมัดระวังกิจกรรมบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่อาจถูกตีความว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐฯ หรือนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการขอวีซ่า ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจสอบและทบทวนประวัติการโพสต์บนโซเชียลมีเดียย้อนหลังอย่างน้อย 5 ปี เพื่อลบเนื้อหาที่อาจเป็นปัญหา

เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศไทยเผยว่ากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมให้คำแนะนำแก่นักเรียนไทยที่วางแผนจะไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ โดยเน้นย้ำให้ระมัดระวังการใช้โซเชียลมีเดีย และหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อการขอวีซ่า

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามาตรการดังกล่าวอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของนโยบายตรวจคัดกรองผู้เข้าเมืองที่เข้มงวดมากขึ้นภายใต้รัฐบาลทรัมป์ สมัยที่สอง และอาจขยายขอบเขตไปยังกลุ่มผู้ขอวีซ่าประเภทอื่นในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงทวีความรุนแรง และความตึงเครียดทางการเมืองในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง