เหตุผลที่มนุษย์คู่แรก เริ่ม “จูบกัน” คืออะไร?

ข่าวด่วนวันนี้

วิวัฒนาการและวิทยาศาสตร์แห่งการจูบ: เหตุใดมนุษย์จึงเริ่มจูบกัน

พิธีกรรมอันแสนลึกซึ้งที่เรียกว่า “การจูบ” นั้นถูกทำให้ดูมีความหมายยิ่งใหญ่ผ่านภาพยนตร์รักโรแมนติกมากมาย มนุษย์ให้คุณค่ากับการจูบราวกับเป็นภาษาสากลแห่งความรัก แต่ท่ามกลางความโรแมนติกนั้น คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือ เหตุใดมนุษย์คู่แรกจึงเริ่มจูบกัน และทำไมพฤติกรรมนี้จึงแพร่หลายในบางวัฒนธรรม แต่กลับไม่ปรากฏในวัฒนธรรมอื่น ๆ

รากฐานจากวัยเยาว์: การเชื่อมโยงริมฝีปากกับความสุข

หนึ่งในคำอธิบายที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจูบคือ จุดเริ่มต้นของความพึงพอใจจากการสัมผัสที่ริมฝีปากซึ่งมีมาตั้งแต่เราเป็นทารก เมื่อทารกได้รับนมจากมารดา ริมฝีปากจึงถูกเชื่อมโยงกับความรู้สึกอิ่มเอม อบอุ่น และปลอดภัย การสัมผัสที่ริมฝีปากจึงกลายเป็นสิ่งเร้าในเชิงบวกที่ฝังรากลึกในจิตใต้สำนึกของมนุษย์

นักจิตวิทยาพัฒนาการหลายท่านเชื่อว่า ความสุขที่ได้รับจากการดูดนมในวัยทารก อาจส่งผลต่อการพัฒนาระบบประสาทรับความรู้สึกที่ริมฝีปาก ทำให้พื้นที่ดังกล่าวไวต่อการสัมผัสและกลายเป็นจุดกำเนิดของความพึงพอใจในเชิงความรู้สึกตลอดชีวิตของมนุษย์

วิวัฒนาการกับการเลี้ยงดู: การป้อนอาหารก่อนวัยอันควร

อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจมาจากการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่พบว่า การจูบอาจมีที่มาจากพฤติกรรมการเลี้ยงดูของมารดาในอดีต เมื่อย้อนกลับไปในช่วงวิวัฒนาการของมนุษย์ มารดามักจะเคี้ยวอาหารให้ลูกน้อยก่อน แล้วป้อนเข้าปากทารกหลังการหย่านม กระบวนการดังกล่าวนี้เรียกว่า “การป้อนอาหารก่อนวัยอันควร” หรือ premastication

พฤติกรรมนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกในอาณาจักรสัตว์ โดยเฉพาะในกลุ่มลิงไม่มีหางซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับมนุษย์ การป้อนอาหารด้วยปากสู่ปากเป็นการถ่ายทอดอาหารที่อ่อนนุ่มและมีคุณค่าทางโภชนาการจากแม่สู่ลูก เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต

การวิจัยในปัจจุบันพบว่า การป้อนอาหารแบบนี้ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ทารกผ่านการแลกเปลี่ยนแบคทีเรียและสารภูมิคุ้มกันจากมารดา การจูบอาจเป็นพฤติกรรมที่วิวัฒนาการมาจากการป้อนอาหารในรูปแบบนี้ และเมื่อเวลาผ่านไป จึงพัฒนาความหมายไปสู่การแสดงความรัก ความใกล้ชิด และความปรารถนาทางเพศ

ความอ่อนไหวของริมฝีปาก: ประตูสู่ความรู้สึก

ประการที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ บริเวณริมฝีปากของมนุษย์เป็นจุดที่มีความอ่อนไหวสูง เนื่องจากมีเส้นประสาทรับความรู้สึกจำนวนมาก และเป็นหนึ่งในส่วนของร่างกายที่มักไม่ถูกปกปิดด้วยเสื้อผ้า ศาสตราจารย์วิลเลียม แจนโคเวียก นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการจูบ ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า:

“ยิ่งคุณสวมเสื้อผ้ามากชิ้นเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งจูบบ่อยมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคุณสวมเสื้อผ้าจำนวนน้อย ความถี่ในการจูบยิ่งน้อยลง”

ข้อสังเกตดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก ในสังคมที่ผู้คนสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายมาก การจูบมักเป็นวิธีหลักในการแสดงความรักและความปรารถนา เนื่องจากใบหน้าและริมฝีปากเป็นพื้นที่เพียงไม่กี่แห่งที่สามารถสัมผัสและรับรู้ความรู้สึกได้โดยไม่ต้องผ่านเสื้อผ้า

อย่างไรก็ตาม แจนโคเวียกพบข้อยกเว้นที่น่าสนใจ:

“ในกลุ่มมนุษย์ผู้ล่าสัตว์และเก็บของป่า เราไม่พบการจูบกัน ยกเว้นชาวอินูอิตในเขตอาร์กติก พวกเขาเป็นกลุ่มผู้ล่าสัตว์และเก็บของป่าเพียงกลุ่มเดียวที่มีการจูบแบบโอเชียนิค ซึ่งเป็นการเอาจมูกและริมฝีปากมาถูกัน แต่ไม่ใช่การจูบปากโดยตรง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ ชาวอินูอิตอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็น ซึ่งทำให้พวกเขาต้องสวมเสื้อผ้าหนา ๆ ปกปิดร่างกายเกือบทั้งหมด นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาพัฒนาการจูบเป็นวิธีการแสดงความรักและความปรารถนา แตกต่างจากกลุ่มผู้ล่าสัตว์และเก็บของป่าในเขตร้อนที่มักไม่สวมเสื้อผ้าหรือสวมเพียงเล็กน้อย

“ในสถานที่อื่น ๆ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้ล่าสัตว์และเก็บของป่า พวกเขาไม่สวมเครื่องนุ่งห่มมากนัก นั่นหมายความว่า พวกเขาสามารถมีปฏิสัมพันธ์เชิงเพศกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้โดยตรง” แจนโคเวียกอธิบาย

สื่อส่งกลิ่น: การเลือกคู่ผ่านสารเคมี

การจูบยังอาจมีจุดประสงค์ทางวิวัฒนาการในแง่ของการเลือกคู่ด้วย เมื่อเราอยู่ใกล้ชิดกัน เราสามารถรับรู้กลิ่นของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน กลิ่นกายสามารถบ่งบอกข้อมูลสำคัญมากมาย เช่น ความเข้ากันได้ของระบบภูมิคุ้มกัน สุขภาพ ฮอร์โมน และแม้กระทั่งวงจรการเจริญพันธุ์

นักวิทยาศาสตร์พบว่า มนุษย์มีแนวโน้มที่จะดึงดูดทางเพศกับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างจากตนเอง ซึ่งเป็นประโยชน์ในแง่ของการสืบทอดเผ่าพันธุ์ การจูบอาจเป็นกลไกที่ช่วยให้เราประเมินความเข้ากันได้ทางชีวภาพกับคู่ที่มีศักยภาพผ่านการแลกเปลี่ยนสารเคมีและกลิ่น

สิ่งนี้อาจอธิบายได้ว่า เหตุใดการจูบแบบปากต่อปากด้วยความรักใคร่จึงไม่ใช่พฤติกรรมสากลที่พบในทุกวัฒนธรรม การวิเคราะห์โดยแจนโคเวียกพบว่า จาก 168 วัฒนธรรมทั่วโลก มีเพียง 46% เท่านั้นที่มีพฤติกรรมการจูบแบบปากต่อปากด้วยความรู้สึกรักใคร่

“ผมคิดว่า สิ่งสำคัญคือ ความรู้สึกรักใคร่เชิงเพศของคนเราสามารถรับรู้ได้หลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่ด้วยการจูบ” แจนโคเวียกอธิบาย “แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เราพบแบบแผนที่ชัดเจนอันหนึ่ง กล่าวคือ ยิ่งสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่าใด คุณก็จะพบเห็นการจูบได้บ่อยครั้งมากขึ้นตาม”

ประวัติศาสตร์แห่งการจูบ: จากภาษาสันสกฤตสู่ปัจจุบัน

หลักฐานลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการจูบ พบในคัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดูที่จารึกด้วยภาษาสันสกฤต ซึ่งมีอายุราว 3,500 ปี นี่แสดงให้เห็นว่า การจูบเป็นพฤติกรรมที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในอารยธรรมมนุษย์

“มีหลายวัฒนธรรมที่พบการจูบแบบปากต่อปาก แบบเดียวกับที่เราเข้าใจและทำกันในปัจจุบัน” เชอริล อาร์ เคอร์เชนบาม ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Science of Kissing” (ศาสตร์แห่งการจูบ) กล่าว

อย่างไรก็ตาม การจูบในแต่ละวัฒนธรรมมีความแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ เคอร์เชนบามยกตัวอย่างการจูบแบบมาเลย์ ซึ่งชาร์ลส์ ดาวิน นักธรรมชาติวิทยาผู้มีชื่อเสียงได้บันทึกไว้:

“ผู้หญิงจะย่อตัวลงกับพื้น ส่วนผู้ชายจะยืนอยู่เหนือพวกเธอแล้วก็หอมกันแบบไว ๆ เพื่อรับรู้กลิ่นของกันและกัน”

นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างที่แปลกตาจากหมู่เกาะโทรเบรียนด์ นอกชายฝั่งปาปัวนิวกินี ที่คู่รักจะจูบกันด้วยการนั่งหันหน้าเข้าหากันและขบที่ขนตาของกันและกัน

“ซึ่งฉันคิดว่าสำหรับคนในปัจจุบัน นี่คงดูไม่เหมือนการกระทำที่โรแมนติกสักเท่าไหร่ แต่สำหรับพวกเขา นั่นเป็นสิ่งแสนโรแมนติก” เคอร์เชนบามอธิบาย “ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจ ผ่านการอยู่ใกล้กับอีกบุคคลหนึ่งในระยะที่ใกล้ชิดมาก และตอบจุดประสงค์ที่ทำให้พวกเราใกล้ชิดกับบุคคลที่เราห่วงใยมากขึ้น”

เมื่อเทียบกับสัตว์: เหตุใดจึงไม่พบการจูบในโลกสัตว์มากกว่านี้?

การจูบด้วยการใช้ริมฝีปากประกบกันเป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ หากการจูบมีจุดประสงค์ด้านวิวัฒนาการจริง คำถามสำคัญคือ เหตุใดเราจึงไม่พบสัตว์ชนิดอื่น ๆ จูบกันมากกว่านี้?

เมลิสซา โฮเกนบูม นักชีววิทยาได้อธิบายในสารคดีของบีบีซีเอิร์ธว่า:

“หนึ่งในเหตุผลที่เราอาจต้องเอาใบหน้าเข้าใกล้คู่รัก ก็เพื่อจะดมกลิ่นให้ได้ชัดเจน โดยกลิ่นตัวสามารถบ่งบอกถึงข้อมูลหลายอย่าง เช่น โภชนาการ โรคภัยไข้เจ็บ อารมณ์ และความเกี่ยวข้องกันทางพันธุกรรม แต่สัตว์หลายประเภทมีการรับรู้กลิ่นที่ดีกว่ามนุษย์มาก ดังนั้น พวกมันจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กันขนาดนั้นเพื่อรับรู้ข้อมูลผ่านกลิ่น”

นอกจากนี้ สัตว์หลายชนิดมีวิธีอื่น ๆ ในการประเมินความเข้ากันได้ทางพันธุกรรมและแลกเปลี่ยนข้อมูลทางชีวภาพ เช่น การดมกลิ่นในบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย การเลียขน หรือพฤติกรรมเฉพาะอื่น ๆ ที่ตอบสนองความต้องการทางชีวภาพได้เช่นเดียวกับการจูบของมนุษย์

อนาคตของการจูบ: ความยั่งยืนของพฤติกรรมแห่งความรัก

เรายังคงจูบต่อไปหรือไม่ในอนาคต? และเหตุใดบางวัฒนธรรมจึงไม่ใส่ใจที่จะจูบกัน? เคอร์เชนบามให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจ:

“ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราพบเห็นการจูบปรากฏขึ้นและสูญหายไปในวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลกด้วยเหตุผลที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลด้านโรคภัย รวมถึงเคยมีจักรพรรดิผู้สั่งห้ามการจูบระหว่างผู้คน เพียงเพราะเขาคิดว่า สิ่งนี้ไม่ใช่สิทธิพิเศษที่คนทั่วไปควรได้รับ”

ในประวัติศาสตร์มีหลายช่วงเวลาที่การจูบถูกห้ามด้วยเหตุผลทางการแพทย์ เช่น ในช่วงการระบาดของโรคต่าง ๆ เช่นเดียวกับในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้หลายคนหลีกเลี่ยงการจูบกับผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

อย่างไรก็ตาม เคอร์เชนบามเชื่อมั่นว่า:

“อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่พวกเราเชื่อมั่นได้ และได้เห็นมาครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นคือ แม้ว่าจะมีคำประกาศไม่ให้มีการจูบ หรือเกิดโรคภัยขึ้น การจูบก็หวนกลับมาเสมอ”

นี่อาจเป็นเพราะการจูบเป็นมากกว่าเพียงพฤติกรรมทางวัฒนธรรม แต่เป็นการแสดงออกถึงความรัก ความปรารถนา และการเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์ ซึ่งยากที่จะถูกทดแทนด้วยรูปแบบการแสดงความรักอื่น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์

ไม่ว่าจุดกำเนิดที่แท้จริงของการจูบจะมาจากการป้อนอาหาร การเลือกคู่ผ่านกลิ่น หรือการเชื่อมโยงทางอารมณ์ สิ่งที่ชัดเจนคือ การจูบเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์มนุษย์ที่เชื่อมโยงเราเข้าด้วยกันในระดับที่ลึกซึ้งที่สุด และมีแนวโน้มว่าจะยังคงอยู่กับเราต่อไปตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงแสวงหาการเชื่อมต่อทางอารมณ์และร่างกายกับผู้อื่น